วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551

ออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้ว แต่น้ำหนักยังขึ้นไม่หยุด?

บางคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขภาพดี ทั้งออกกำลังกายเป็นประจำและ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ อาจจะงงและ หงุดหงิดว่าทำไมน้ำหนักถึงยังได้ขึ้นเอาเรื่อยๆ เราขอนำเสนอ 5 สาเหตุที่คุณอาจคาดไม่ถึงดังต่อไปนี้ค่ะ:

1. นอนไม่พอ
เวลาที่คนเรานอนไม่พอ ร่างกายจะกักเก็บไขมันได้ดีขึ้น นอกจากนั้น คนที่นอนไม่พอมักจะเครียดง่ายขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้หาอาหารหรือ ขนมมาบรรเทาความเครียด คุณควรจะพยายามนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่งโมง นอกจากนั้น การนอนตรงเวลาทุกวันและ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น

2. ความเครียด
ความเครียดก่อให้เกิดกระบวนการทางเคมีที่ทำให้ร่างกายเราเข้าสู่ภาวะของการประทังชีวิต (survival mode) ซึ่งทำให้ร่างกายกักเก็บไขมันเพิ่มขึ้น เผาผลาญช้าลง และหลั่งสารเคมีต่างๆเช่น คอร์ติซอล เลปติน ฯลฯ ที่มีส่วนทำให้ไขมันถูกกักเก็บอยู่ตรงหน้าท้องโดยเฉพาะ มากกว่านั้น คนที่อยู่ในภาวะความเครียดมักจะชอบอาหารที่มีแป้งและ น้ำตาลเยอะ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ทำให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (serotonin) ออกมามากขึ้น โดยสารนี้เป็นสารที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือการรับประทานแคลอรี่มากขึ้นโดยที่อาจจะไม่รู้ตัว ดังนั้น เราขอแนะนำว่า คุณควรหาวิธีแก้เครียดที่ไม่ใช้อาหาร เช่น การออกกำลังกาย เล่นโยคะ นวดอโรมา ฟังเพลง เต้นลีลาศ หรือ นั่งสมาธิค่ะ

3. การรับประทานยา
ยาบางชนิดที่คุณหมอจ่ายให้คุณเพื่อรักษาโรค อาจเป็นต้นเหตุของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า, อารมณ์แปรปรวน, ไมเกรน, ความดันสูงและเบาหวาน ในบางคนน้ำหนักอาจจะขึ้นเพียงไม่กี่กิโล แต่บางคนอาจจะขึ้นได้ถึงเดือนละ 5 กิโล หากคุณน้ำหนักขึ้นมาเดือนละมากกว่า 2 กิโล และได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่าง การรับประทานยาอาจจะเป็นสาเหตุที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้

ยาแต่ละตัวมีผลในการทำให้น้ำหนักขึ้นไม่เหมือนกัน ยาอาจทำให้คุณอยากอาหารมากขึ้น ปรับกระบวนการกักเก็บไขมันในร่างกาย ทำให้ร่างกายบวมน้ำหรือ ปรับระดับของอินซูลินในเลือด แต่ในกลุ่มของยาแก้โรคซึมเศร้า น้ำหนักตัวของผู้ป่วยอาจจะไม่ได้ขึ้นเพราะการรับประทานยา แต่อาจจะเป็นเพราะทานยาแล้วอารมณ์ดีขึ้น เลยทานได้มากขึ้นกว่าเดิม
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ากลุ่มยาหลักๆที่อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นคือ:
- สเตียรอยด์
- ยาแก้โรคซึมเศร้า
- ยาแก้โรคเบาหวาน
- ยาลดความดัน -
ยาแก้โรคกรดไหลย้อน
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการที่ทานยาแล้วหายจากโรค อาจจะคุ้มกับการที่น้ำหนักตัวขึ้นนิดๆหน่อยๆนะคะ นอกจากนั้น การรับประทานยาอาจจะเป็นหนึ่งในหลายๆสาเหตุของการเพิ่มน้ำหนัก ดังนั้น เราแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะด่วนสรุปและ ตัดสินใจหยุกยาค่ะ

4. ความผิดปกติของต่อมไธรอยด์ (hypothyroidism)
การขาดฮอร์โมนไธรอยด์ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ช้าลง ดังนั้นน้ำหนักจึงเพิ่มขึ้น หากคุณรู้สึกอ่อนเพลียและ มีอาการตัวบวม เสียงแหบ หนาวง่าย นอนมากเกินปกติ หรือ ปวดหัวบ่อยๆ คุณควรจะพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าการทำงานของต่อมไธรอยด์มีปัญหาหรือไม่ อีกโรคหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นคือโรค Cushing's Syndrome ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป แต่โรคนี้เป็นโรคที่พบไม่บ่อยนัก

5. วัยทอง
เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น การเผาผลาญก็จะช้าลงตามธรรมชาติ และเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย อาจทำให้หิวง่ายขึ้น นอนไม่หลับหรือ เกิดอาการซึมเศร้า มากกว่านั้น การสูญเสียฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยทอง ทำให้การกักเก็บไขมันในร่างกาย เปลี่ยนจากช่วงล่าง (สะโพกและ ต้นขา) เป็นช่วงหน้าท้อง แพทย์แนะนำว่าผู้หญิงวัยทองควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกักเก็บไขมันที่มากเกินไปและ เพื่อเพิ่มมวลกระดูก ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วยค่ะ
References:
Michelle May, MD; author, Am I Hungry? What to Do When Diets Don't Work.
Susan Bowerman, MS, RD, assistant director, UCLA Center for Human Nutrition.
WebMD Feature: "Is Your Medicine Cabinet Making You Fat?"

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2551

น้ำก๊อกร้อนๆอาจมีอันตรายต่อสุขภาพ!


นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่า น้ำประปาที่ร้อนอาจมีสารตะกั่ว (lead) เจือปนอยู่ ถึงแม้ว่าน้ำประปาส่วนใหญ่จะไม่มีสารตะกั่วเจือปน แต่เมื่อผ่านก๊อกน้ำร้อนในบ้านคุณ ก็อาจจะมีสารตะกั่วจากท่อน้ำเจือปนมาด้วย เนื่องจากว่าน้ำร้อนละลายสารต่างๆได้ดีกว่าน้ำเย็นและ ท่อน้ำประปาในบางบ้านอาจจะเป็นท่อที่มีตะกั่ว โดยเฉพาะในบ้านที่สร้างมานานแล้ว Environmental Protection Agency(EPA) ของสหรัฐอเมริกาแจ้งว่า แม้กระทั่งท่อน้ำชนิดใหม่ที่โฆษณาว่าไร้สารตะกั่ว อาจยังมีสารตะกั่วอยู่มากถึง 8 %

สารตะกั่วมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก โดยอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมองและ ระบบประสาท โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ถึงแม้ว่าความเสี่ยงที่คุณจะดื่มน้ำที่มีสารตะกั่วในระดับที่อันตรายมีอยู่ไม่มาก แต่ EPA แนะนำว่าควรจะดื่มและ ใช้น้ำประปาที่เย็นเท่านั้น

มากกว่านั้น EPA ยังเตือนด้วยว่าการต้มน้ำไม่สามารถกำจัดสารตะกั่วออกจากน้ำได้ ในทางกลับกัน การต้มน้ำจะทำให้สารตะกั่วในน้ำมีความเข้มข้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

Reference: New York Times--The Claim: Never Drink Hot Water from the Tap


วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

โพรไบโอติก (probiotic) คืออะไร?


ในร่างกายของคนเรา มีเชื้อแบกทีเรียอยู่เป็นพันล้านตัว แต่อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ เพราะเชื้อแบกทีเรียบางตัว มีประโยชน์ต่อร่างกายเรา โดยมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและ ปกป้องร่างกายเราจากเชื้อแบกทีเรียที่ไม่ดีค่ะ ซึ่งเชื้อแบกทีเรียที่มีประโยชน์เหล่านี้ก็คือ โพรไบโอติก (Probiotic) นั่นเองค่ะ

ในอาหารเช่น โยเกิร์ต (เช่น Danone Activia) ซอสมิโสะและ นมถั่วเหลือง ก็จะมีโพรไบโอติกอยู่ ณ ปัจจุบัน มีการวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกอยู่ค่อนข้างเยอะและ มีการวิจัยบางส่วนที่แสดงผลว่า โพรไบโอติกอาจช่วยในการ:

- แก้ท้องเสีย โดยเฉพาะหลังการรักษาโรคด้วยการรับประทานยาฆ่าเชื้อ

- ป้องกันการเกิดโรคเชื้อราในช่องคลอดและ โรคท่อปัสสาวะอักเสบ

- ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

- ลดระยะเวลาการอักเสบของลำไส้

- ป้องกันการอักเสบหลังการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ (pouchitis)

อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการวิจัยมากกว่านี้เพื่อจะยืนยันว่าโพรไบโอติกมีผลดีต่อร่างกายจริงๆ ขณะนี้ อ.ย. ยังไม่อนุญาติให้นำเข้าผลิตภันฑ์เสริมอาหารที่เป็นโพรไบโอติก ดังนั้น หากคุณพบเจอผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ควรตรวจสอบให้ดีว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้นำเข้ามาโดยถูกต้องตามกฏหมาย และปลอดภัยต่อการบริโภคหรือไม่นะคะ
Reference: Mayo Clinic

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

จริงหรือไม่? เครียดมากๆแล้วผมจะร่วง?

จริงค่ะ จิตแพทย์จาก Mayo Clinic ชี้แจงว่าความเครียดอาจก่อให้เกิดอาการผมร่วง 2 ประเภท:

1. Telogen Effluvium เป็นอาการผมร่วงที่เกิดขึ้นจากความเครียดอย่างรุนแรง และทำให้เส้นผมที่กำลังอยู่ในช่วงการเติบโต (growing phase) หยุดการเติบโตอย่างกระทันหัน หลังจากนั้นอีก 2-3 เดือน เส้นผมเหล่านั้นก็จะร่วงหล่นลงมา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เส้นผมก็จะขึ้นมาตามปกติภายใน 6-9 เดือน

2. Alopecia Areata เป็นอาการผมร่วงที่รุนแรงกว่า โดยเม็ดเลือดขาวจะไปโจมตีรูขุมขน ซึ่งจะทําให้ทั้งเส้นผมและ เส้นขนบนร่างกายร่วงลงมาภายในไม่กี่อาทิตย์ ผมร่วงประเภทนี้มักจะเริ่มเป็นวงกลมเล็กๆก่อน แต่อาจจะค่อยๆขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เส้นผมอาจจะขึ้นมาเหมือนเดิมได้ แต่ในบางคนอาจจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญค่ะ

จริงหรือไม่? การดื่มน้ำหลังอาหารจะทำให้ย่อยไม่ดี?

ไม่จริงค่ะ นายแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารของ Mayo Clinic ได้ชี้แจงว่า การดื่มน้ำหลังอาหารจะไม่ทำให้น้ำย่อยเจือจางลงอย่างที่บางคนอาจจะคิด ที่จริงแล้ว การดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร หรือ หลังจากทานอาหารจะช่วยให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะน้ำจะช่วยให้อาหารแตกตัวได้ง่ายขึ้น และการดื่มน้ำอย่างเพียงพอยังสำคัญต่อการทำงานที่ดีของระบบทางเดินอาหารอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

การรับประทานไข่มากกว่า 6 ฟองต่ออาทิตย์ อาจเพิ่มโอกาสเสียชีวิตในผู้ชายที่เป็นเบาหวาน


Dr. Luc Djousse ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก Harvard Medical Schoolได้มีการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานไข่กับการเพิ่มโอกาสเสียชีวิต มีผู้ร่วมการวิจัยนี้ทั้งหมด 21,000 คน ซึ่งเป็นนายแพทย์ในสหรัฐอเมริกาที่มีอายุระหว่าง 40 - 86 ปี นายแพทย์ทุกคนได้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับจํานวนไข่ที่รับประทานทุกวัน, ประวัติโรคหัวใจและ โรคเบาหวาน, ระดับของคอเลสเตอรอล, ความถี่ในการสูบบุหรี่และ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล, และข้อมูลการรับประทานอาหารทั่วไป

การวิจัยนี้ได้พบว่า การรับประทานไข่น้อยกว่า 6 ฟองต่ออาทิตย์ จะไม่ทําให้มีโอกาสเสียชีวิตที่สูงขึ้น แต่ว่าการรับประทานไข่ 7 ฟองขึ้นไปต่ออาทิตย์ จะทําให้มีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น 23%

มากกว่านั้น การรับประทานไข่ 7 ฟองขึ้นไปต่ออาทิตย์ ทําให้นายแพทย์ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับนายแพทย์ที่เป็นเบาหวาน แต่รับประทานไข่เพียง 1 ฟองต่ออาทิตย์

แพทย์แนะนําผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจว่า ควรได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารเพียง 300 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไข่ 1 ฟองก็มีคอเลสเตอรอลถึง 200 มิลลิกรัมแล้ว นักวิจัยได้อธิบายว่า คนที่เป็นเบาหวานอาจจะแปลงคอเลสเตอรอลจากอาหารมาเป็นคอเลสเตอรอลในเลือดได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน ดังนั้น การรับประทานไข่มากเกินไปจึงเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยก็ได้กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถแนะนำอย่างเป็นทางการให้ผู้ที่เป็นเบาหวานรับประทานไข่น้อยลง เพราะนี่เป็นเพียงผลจากการวิจัยเพียง 1 ครั้งและ ยังคงต้องมีการวิจัยหาข้อมูลมาเสริมให้มากกว่านี้

Reference: The American Journal of Clinical Nutrition, April 2008

ขวดน้ำ และ ขวดนมของคุณมีสารเคมีที่อันตรายหรือไม่?


เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้นําเสนอข่าวว่า Walmart ซูเปอร์สโตร์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา จะเลิกขายขวดน้ำ และ ขวดนมพลาสติกที่มีสารเคมีชื่อ Bisphenol A (BPA) นอกจากนั้น บริษัท Nalgene ที่ผลิตขวดน้ำพลาสติกเจ้าใหญ่ของอเมริกา ก็จะเลิกใช้สารเคมีตัวนี้ในการผลิตเช่นกัน

BPA เป็นสารที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติกชนิดแข็งและใส เช่นขวดโหล ขวดน้ำ และ ขวดนมของทารก แต่มีการวิจัยว่า สารเคมีชนิดนี้อาจก่อความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะในเด็กทารก
ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ประเทศแคนาดาได้เริ่มกระบวนการที่จะประกาศว่า สาร BPA เป็นสารเคมีอันตราย ส่วนรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาก็ได้จัดทํารายงานเบื้องต้นว่า สาร BPA อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้บริโภค

หากเป็นไปได้ เราแนะนําให้ซื้อขวดน้ำ และ ขวดนมที่ปลอดสาร BPA นะคะ กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ

คุณแพ้นมรึเปล่า?


อาการของการแพ้นมวัวอาจจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีหลังดื่มนม หรือหลังรับประทานอาหารที่ทําจากนมวัว เช่น ชีส ครีม เค้ก เนย แต่สําหรับบางคน อาการแพ้อาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะแสดงออกมาให้เห็น ส่วนอาการของการแพ้มีตั้งแต่การจาม คัดจมูก อาเจียน ผื่นขึ้น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย หรือ ท้องผูก

สาเหตุของการแพ้นมวัวนั้น เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างโปรตีนต่อต้านเชื้อโรคในร่างกายที่มีชื่อว่า Immunoglobulin E (IgE) มาต้านโปรตีนจากนมวัว ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่

- Casein ซึ่งพบได้ในส่วนที่จับตัวเป็นตะกอน เมื่อนมวัวถูกความร้อน

- Whey ซึ่งพบได้ในส่วนที่แยกเป็นของเหลวหลังถูกความร้อน

ทุกๆครั้งที่ IgE เจอโปรตีนจากนมวัวในร่างกาย ก็จะส่งสัญญาณให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยสารฮิสตามีน (histamine) ออกมา ซึ่งสารฮิสตามีน จะก่อให้เกิดอาการเช่น: คัดจมูก คันตา น้ำมูกไหล คอแห้ง ผื่นคัน คลื่นไส้ อาเจียน หรือแม้กระทั่งการช็อก

คุณอาจจะแพ้โปรตีนในนมวัวทั้ง 2 ชนิด หรือชนิดใดชนิดหนึ่ง หากคนในครอบครัวของคุณมีประวัติการแพ้มาก่อน โอกาสที่คุณหรือลูกของคุณจะแพ้นมวัว ก็จะสูงมากขึ้น

นอกจากนมวัวแล้ว อาหารที่ก่อให้เกิดการแพ้บ่อยที่สุดคือ ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง อาหารทะเล และ ข้าวสาลีในปัจจุบัน คุณสามารถตรวจการแพ้อาหาร (food allergy test) ได้ตามโรงพยาบาลชั้นนําทั่วไป โดยที่แพทย์จะเจาะเลือดไปวิเคราะห์ในห้องแล็บ เพื่อดูว่า โปรตีนต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย IgE เกิดขึ้นในระดับเท่าใดเมื่อพบกับอาหารต่างๆค่ะ

Reference: Mayo Clinic Allergy Center



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2551

วิตามิน อี อาจช่วยให้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ยืดอายุขัย


เมื่อวันที่ 12-19 เมษายน 2551 นักวิจัย Valory Pavlik, PhD. จาก Baylor College of Medicine's Alzheimer's Disease and Memory Disorders Center ได้นําเสนอผลการวิจัยในงานประชุมประจําปีของ American Academy of Neurology ที่เมืองชิคาโก

การวิจัยนี้ติดตามผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ กว่า 847 คน ที่เป็นโรคนี้มาโดยเฉลี่ย 5 ปีแล้ว ประมาน 67% ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ทานวิตามิน อี 1000 IU วันละ 2 ครั้ง พร้อมกับยาอัลไซเมอร์ ที่มีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ cholinesterase (cholinesterase inhibitor) น้อยกว่า10% ของผู้ป่วยทานเพียงวิตามิน อี อย่างเดียว และอีกประมาน 15% ของผู้ป่วยไม่ได้ทานวิตามิน อี

ผลจากการวิจัยนี้พบว่า ผู้ป่วยที่ทานวิตามิน อี--ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ทานยาควบคู่ไปด้วย หรือไม่ได้ทานยาแลย--มีโอกาสที่จะเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้ทานวิตามิน อี ถึง26%

นอกจากนั้น ผลการวิจัยได้ชี้ว่าการทานวิตามิน อี ควบคู่กับการทานยาอัลไซเมอร์ ที่มีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ cholinesterase จะมีผลดีมากกว่าการทานอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

วิตามิน อี สามารถพบได้ในอาหารเสริม นํามันพืชบางชนิด ถั่ว และผักใบเขียว

Reference: American Academy of Neurology (2008, April 17). Vitamin E May Help Alzheimer's Patients Live Longer, Study Suggests. ScienceDaily.

การดื่มชาเป็นประจําอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพคุณ


Mayo Clinic Health Letter ฉบับเดือนเมษายน 2551 ได้กล่าวถึงคุณประโยชน์ต่างๆของการดื่มชาเป็นประจํา ชาดํา ชาเขียว ชาขาวและชาอูหลงล้วนมาจากใบไม้ชนิดเดียวกัน ซึ่งก็คือใบของต้น camellia sinensis ใบชามีสาร flavonoids และ polyphenol ในปริมาณสูงมาก ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี

จากการวิจัยต่างๆที่ผ่านมา หลายๆการวิจัยได้พบว่าการดื่มชาเป็นประจํา อาจจะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังไม่มีการวิจัยอันใดที่สรุปได้อย่างชัดเจนว่ามีคุณประโยชน์อย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจัยอื่นๆในการใช้ชีวิตอาจมีผลกระทบกับผลของการวิจัย

อย่างไรก็ตาม ทาง Mayo Clinic ก็ได้รวบรวมคุณประโยชน์ต่างๆ ที่อาจจะมาจากการดื่มชาเป็นประจํา ดังต่อไปนี้:


สุขภาพหัวใจ
มีหลักฐานเบื้องต้นว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจําอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวาย หรือ เส้นเลือดอุดตัน

การต้านมะเร็ง
การวิจัยในห้องแล็บเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า การดื่มชาขาวเป็นประจําอาจป้องกันการเกิดมะเร็งในลําใส้ใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีการวิจัยที่ชี้ชัดว่าป้องกันได้จริง

สุขภาพกระดูกและข้อ
การวิจัยในห้องแล็บเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าการดื่มชาดําเป็นประจําอาจช่วยลดการอักเสบจากภาวะข้อต่ออักเสบ (arthritis inflammation) และอาจมีผลในการชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อน นอกจากนั้น ยังมีผลการวิจัยเบื้องต้นว่า การดื่มชาเป็นประจําอาจช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของแร่ธาติในกระดูกของหญิงสูงอายุ

ความทรงจํา
การวิจัยในด้านนี้ยังมีไม่เยอะ แต่มีการพบว่าผู้สูงอายุในญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียวทุกวันมีความทรงจําที่ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มชาเขียวเป็นประจํา

Reference: Mayo Clinic (2008, April 6). Drinking Tea May Offer Health Benefits, But Evidence Still Limited. ScienceDaily.