วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ไฟเบอร์ มีดีอย่างไร?



เป็นที่รู้กันมานานนมแล้วว่าไฟเบอร์มีบทบาทในการลดน้ำหนัก แต่หากถามต่อไปว่าไฟเบอร์ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างไร น้อยคนนักที่จะตอบได้ วันนี้เราจึงอยากชวนคุณๆผู้รักสุขภาพมาทำความรู้จักกับไฟเบอร์ให้มากขึ้นอีกนิดแล้วคุณก็จะได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไฟเบอร์มีดีที่ตรงไหน

ไฟเบอร์ (fiber) คือ กากใยอาหารซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้ โดยร่างกายคนเราจะได้รับไฟเบอร์จากการบริโภคพืชผัก และ ผลไม้ โครงสร้างของไฟเบอร์ประกอบไปด้วยโมเลกุลน้ำตาลเรียงต่อกันอย่างซับซ้อน โดยไฟเบอร์จะไม่โดนย่อยด้วยกรดในกระเพาะอาหารและเอนไซม์ในลำไส้เล็ก ไฟเบอร์แบ่งได้ 2 ชนิดคือไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ (soluble fiber) พวกนี้สามารถละลายน้ำ เห็นเป็นเมือกใส ๆ หรือขุ่นคล้ายยาง พบมากในผลไม้ ข้าวโอ๊ต และ พืชตระกูลถั่ว โดยไฟเบอร์ละลายน้ำนี้จะมีคุณประโยชน์ ในขัดขวางการดูดซึมไขมันจึงช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความอ้วน และควบคุมน้ำตาล ส่วนไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber) จะยังคงเห็นเป็นกากใย พบมากในข้าวซ้อมมือ รำข้าวทุกชนิด และผักต่าง ๆ


ไฟเบอร์แบบไม่ละลายน้ำนี้จะไปเบียดบังพื้นที่ในทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มจึงช่วยให้ลดความอ้วนได้ อีกทั้งยังเพิ่มกากใยทำให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ จึงลดโอกาสการดูดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ๆได้ด้วย


โดยทั่วไปแล้วร่างกายคนเราต้องการไฟเบอร์ในปริมาณ 25-30 กรัมต่อวัน โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ได้แก่ธัญพืชไม่ขัดสีเช่นขนมปังโฮลวีท ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียวต่างๆ และผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์มากได้แก่แอ๊ปเปิ้ล ส้มทั้งผล โดยเฉพาะใยขาวๆที่ใครหลายคมชอบหยิบทิ้งนั่นล่ะค่ะแหล่งไฟเบอร์อย่างดี สตรอว์เบอรรี่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย กีวี และ อะโวคาโดเป็นต้น

จะเห็นได้ว่าไฟเบอร์มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายอย่าง รู้อย่างนี้แล้วก็หันมาบริโภคผักผลไม้ และ อาหารที่มีไฟเบอร์กันเยอะๆนะคะ จะได้เป็นเจ้าของหุ่นดี สุขภาพดีกันถ้วนหน้ายังไงล่ะคะ

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551

อย่าปล่อยให้ตาไหม้!




ในช่วงหน้าร้อน หลายๆคนมักจะคิดแต่เพียงว่าต้องปกป้องผิวด้วยสารกันแดด แต่ทราบหรือไม่คะว่า ดวงตาของคุณก็สามารถโดนแสง UV ทำให้ "ไหม้" ได้เช่นกัน! การที่ดวงตาโดนแสง UV จากแสงแดดมากเกินไปจะทำให้เกิดโรคตาต้อ การเสื่อมสภาพของเลนส์ตา ฯลฯ


ดังนั้น เราจึงควรปกป้องดวงตาของเราด้วยวิธีง่ายๆ 2 วิธี:

1. ใส่หมวกที่มีปีกใหญ่ๆเวลาที่อยู่ใต้แสงแดดแรงๆ

2. ใส่แว่นกันแดดที่มีคุณภาพดี และมีระบุว่ากันแสง UV-A และ UV-B ได้ 99% มากกว่านั้น ควรจะใส่แว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกในระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นวันที่แดดจ้าหรือเมฆเยอะ


กลุ่มของเด็กและวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่ต้องดูแลดวงตามากที่สุด เพราะกลุ่มนี้มักจะใช้เวลาใต้แสงแดดมากกว่าผู้ใหญ่ นอกจากนั้น เลนส์ของดวงตาเด็กและวัยรุ่นมักจะบางและใสกว่าของผู้ใหญ่ ซึ่งจะทำให้แสง UV เข้าไปทำลายดวงตาได้ลึกขึ้น ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ปกครองก็ควรจะซื้อแว่นกันแดดให้ลูกหลานด้วยนะคะ


วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ทานมื้อเช้าให้อิ่มๆ เพื่อลดความอ้วนอย่างไม่โยโย่



คนทำงานหลายๆคนมักจะไม่ทานข้าวเช้า เพราะต้องรีบออกไปทำงาน แต่ทราบมั้ยคะว่า การทานข้าวเช้าที่มีทั้งแป้งและโปรตีนให้อิ่มๆ จะมีผลกับการลดน้ำหนักในระยะยาวที่ดีกว่า และช่วยให้ไม่โยโย่ด้วยค่ะ


การวิจัยของ Virginia Commonwealth University นี้ มีผู้ร่วมอยู่ทั้งหมด 94 คน ซึ่งทุกคนเป็นผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ไม่ค่อยออกกำลังกาย และเฉลี่ยอายุอยู่ที่ 30กว่าๆ ผู้ร่วมวิจัยถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม:


- กลุ่มแรกจะต้องทานอาหารที่มีแป้งน้อย (low carbohydrate diet) และให้ทานมื้อเช้าแค่ 290 แคลอรี่เท่านั้น ซึ่งก็จะประกอบด้วย นม 1 แก้ว ไข่ 1 ฟอง เบคอน 3 แผ่น และ เนย 2 ช้อนชา ผู้ร่วมวิจัยในกลุ่มนี้ทานอาหารประมาณ 1,085 แคลอรี่ต่อวัน

- กลุ่มที่สองไม่ได้มีการจำกัดกลุ่มอาหาร แต่ต้องทานมื้อเช้าที่มีประมาณ 600 แคลอรี่ ซึ่งมักจะประกอบด้วย นม 1 แก้ว เนยแข็ง ไก่งวง ขนมปัง 2 แผ่น มายอนเนส ชอกโกแลต 1 ออนซ์ และโปรตีน สมูทธี่ 1 แก้ว ผู้ร่วมวิจัยในกลุ่มนี้ทานอาหารประมาณ 1,240 แคลอรี่ต่อวัน


ทั้ง 2 กลุ่มทำตามสูตรลดน้ำหนักนี้อยู่ 4 เดือน แล้วค่อยปรับเป็น maintenance phase หรือช่วงที่คุมน้ำหนักให้คงที่อีก 4 เดือน ใน 4 เดือนแรก กลุ่มที่ทานข้าวเช้าน้อยๆลดน้ำหนักได้เยอะกว่า (28 ปอนด์เทียบกับ 23 ปอนด๋) แต่หลังจาก maintenance phase กลุ่มที่ทานข้าวเช้าน้อยๆกลับมีน้ำหนักเพิ่มกลับขึ้นมาอีก 18 ปอนด์ ในขณะที่กลุ่มที่ทานข้าวเช้าให้เต็มอิ่มกลับน้ำหนักลดลงเรื่อยๆอีก 16.5 ปอนด์


สรุปคือ กลุ่มที่ทานข้าวเช้าน้อยๆ และหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งเป็นกลุ่มที่โยโย่ แต่กลุ่มที่ทานข้าวเช้าให้เต็มที่และ เน้นที่จำกัดปริมาณแคลอรี่แต่ไม่จำกัดกลุ่มอาหาร กลับลดน้ำหนักได้เยอะกว่าและไม่มีการโยโย่เลยค่ะ ดังนั้น เราจึงอยากแนะนำทุกคนที่พยายามลดน้ำหนักมาครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ลองมาทานข้าวเช้าที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ และควรทานให้อิ่ม เพื่อที่จะไม่หิวโซจนทานมากกว่าที่ควรระหว่างวันนะคะ



วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ระวัง! แคลอรี่แฝงในน้ำดื่ม



เป็นที่ทราบกันดีว่ากฎข้อหนึ่งของการควบคุมน้ำหนักคือการควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่เข้าสู่ร่างกาย เพราะเจ้าพลังงานส่วนเกินนี้เองที่จะถูกแปรสภาพเป็นไขมันสะสมไว้เป็นส่วนเกินตามจุดต่างๆของร่างกาย สาวๆและหนุ่มๆนักไดเอ็ทจึงท่องจำกฎข้อนี้จนขึ้นใจและระมัดระวังในการเลือกรับประทานอาหารชนิดที่หายใจเข้าออกเป็นตารางแคลอรี่ แต่บ่อยครั้งที่พบว่าแม้คุณจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยผักต้ม เนื้อไก่ลอกหนัง และข้าวกล้อง เจ้าน้ำหนักส่วนเกินก็ยังคงไม่ลดลงง่ายๆ แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะคุณประมาทแคลอรี่ที่แอบแฝงอยู่ในเครื่องดื่มแก้วโปรดแสนชื่นใจก็ได้ ลองสำรวจดูสิว่าคุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่กินข้าวตามวิธีนักไดเอ็ท แต่จิบกาแฟหอมกรุ่นหวานมันพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ในยามเช้า ดื่มน้ำผลไม้ปั่นหวานชื่นใจแถมสรรพคุณว่าเพื่อสุขภาพในช่วงพัก และซดเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าระหว่างปาร์ตี้สุดสัปดาห์ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วคุณคงต้องหันมาระวังเรื่องเครื่องดื่มของคุณโดยด่วน ลองมาดูกันว่าในเครื่องดื่มแก้วโปรด 1 แก้วจะมีแคลอรี่ซ่อนอยู่เท่าไหร่

1. น้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีแคลอรี่ประมาณ 120-130 แคลอรี่ นอกจากนี้ยังมีกรดคาร์บอนิก สารกันบูด สารแต่งสี และ แต่งกลิ่น
2. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่แอลกอฮอล์ 1 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 7 แคลอรี่ มากกว่าคาร์โบไฮเดรตเสียอีก (คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่) และแอลกอฮอล์ยังเป็นตัวการขัดขวางการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ไม่ให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกด้วย
3. น้ำผลไม้ ถึงผลไม้จะมีประโยชน์และให้วิตามินสูง อีกทั้งยังถูกบรรจุอยู่ในเมนูลดน้ำหนัก แต่น้ำผลไม้หลายชนิดเช่นน้ำองุ่น น้ำส้ม หรือน้ำสับปะรดก็ให้น้ำตาลสูงและยังไม่มีไฟเบอร์เหมือนรับประทานผลไม้ทั้งผล ยิ่งถ้าคุณเป็นคนติดรสหวานและเติมน้ำเชื่อมเข้าไปด้วยแล้ว แคลอรี่ที่ได้จะยิ่งเพิ่มขึ้น
4. กาแฟ 1 แก้ว เติมน้ำตาล 2 ช้อนชา และ ครีม 2 ช้อนชาให้แคลอรี่ 65 แคลอรี่ แต่ถ้าเป็นกาแฟเย็นคาปูชิโน่ หรือ กาแฟปั่นแฟรบปูชิโน่หวานมันจะได้แคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
5. ชาเย็น นมเย็น โอวัลตินเย็น และ ช็อกโกแลตเย็น 1 แก้วให้พลังงาน 220 – 400 แคลอรี่ อันเนื่องมาจากนมข้นหวานและน้ำตาลซึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก
6. นมสด 1 แก้ว (240 ml) ให้พลังงาน 125 แคลอรี่

เป็นยังไงล่ะคะกับข้อมูลแคลอรี่ที่มาพร้อมกับเครื่องดื่มถ้วยโปรด ความจริงแล้ว เครื่องดื่มที่วิเศษที่สุดสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็คือน้ำเปล่านั่นเองค่ะ เพราะนอกจากยังไม่มีแคลอรี่แล้ว น้ำยังช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย และ ทำให้การเผาผลาญไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักจึงควรเลือกน้ำเปล่าเป็นตัวเลือกแรกโดยหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน และ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ส่วนเครื่องดื่มที่มีประโยชน์อย่างอื่นๆ เช่นนม หรือ น้ำผลไม้ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และทางที่ดีไม่ควรเติมน้ำตาลลงไปอีกนะคะ ลดความหวานลงสักนิด จะได้รูปร่างดีไปอีกนานๆไงคะ

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ป้องกันหวัดด้วยวิธีธรรมชาติ

สวัสดียามเย็นค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเหลือเกิน หลายคนอาจจะต้องตากฝนสลับกับตากแดดจนภูมิคุ้มกันต่ำลง ซึ่งทำให้ร่างกายถูกเชื้อไวรัสโจมตีได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ช่วงนี้จึงเป็นเวลาสำคัญที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องล้มป่วยนะคะ

วิธีง่ายๆที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันก็คือ
- การนอนหลับให้เพียงพอ 
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล หรือ การสูบบุหรี่ 
- ทานให้ครบห้าหมู่ โดยต้องไม่ลืมทานผัก ผลไม้ที่อุดมไปด้วนวิตามิน ซี ให้เยอะๆ 
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 

นอกจากนั้น เรายังอยากแนะนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการต้านไวรัสที่มีชื่อว่า อัลเดอร์เบอรี่ (elderberry) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัด (influenza virus) เกาะติดกับเซลล์ของร่างกาย และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า แอนโธไซยานิน (anthocyanins) ในอัลเดอร์เบอรี่ ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เทียบเคียงกับยาแก้ปวด ที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย และไข้สูงที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเป็นไข้หวัดค่ะ

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ดื่มชาเขียวทั้งที ต้องใส่มะนาว!



สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีเคล็ดไม่ลับที่จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าจากการดื่มชาเขียวได้มากขึ้นถึง 5 เท่าเชียวค่ะ แถมวิธีก็ง่ายแสนง่าย เพียงคุณเติมน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม2-3 ช้อนโต๊ะลงไปในชาเขียวของคุณที่ได้แช่ไว้ในน้ำร้อนซัก 3-5 นาที ก็จะสามารถทำให้สารคาเทคิน (catechins) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและ โรคหัวใจในชาเขียวมีความเสถียรมากขึ้น ดังนั้น ปริมาณของคาเทคินที่ร่างกายจะดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดก็จะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าค่ะ


สาเหตุที่ต้องเติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มนั้น เป็นเพราะว่าสารคาเทคินมักจะสลายตัวในสภาวะที่ไม่เป็นกรด (non-acidic environment) ดังนั้น ร่างกายเราก็จะดูดซึมได้เพียง 20 % ของสารคาเทคินที่ได้รับจากการดื่มชาเขียวเปล่าๆค่ะ


ทั้งง่ายและดีขนาดนี้แล้ว ไม่ลองเห็นจะไม่ได้แล้วนะคะ

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฝรั่งสำหรับผิวสวย



สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ GNC Health Advisor มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการมีผิวสวยจากภายในมาฝากค่ะ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและ ผู้ชายนะคะ


ใครๆก็คงเคยได้ยินว่า ถ้าอยากมีผิวสวยก็ควรทานผัก ผลไม้ให้เยอะเข้าไว้ ทำไมเหรอคะ? หนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือผักและผลไม้มักอุดมไปด้วย วิตามิน ซี (vitamin C) ซึ่งมีการวิจัยมาแล้วในผู้หญิงกว่า 4,000 คนว่า ผู้หญิงอายุระหว่าง 40 - 74 ปี ที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน ซี มักจะมีริ้วรอยน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยได้ทานอาหารเหล่านั้น


วันนี้ เราจึงอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านหันมาทานอาหารที่มีปริมาณวิตามิน ซีสูงเช่น ฝรั่ง คุณผู้อ่านทราบมั้ยคะ ว่าฝรั่ง 1 ถ้วยตวงมีปริมาณวิตามิน ซีมากกว่าส้มถึง เกือบ 5 เท่า (377 mg เทียบกับ 83 mg) ซึ่งวิตามิน ซีจะช่วยให้ผิวคุณเสริมสร้างคอลลาเจนให้แลดูอ่อนวัยยิ่งขึ้น


นอกจากจะได้วิตามิน ซีเยอะแล้ว ฝรั่งยังมีสารต้านเชื้อโรคที่มักจะพบในอาหาร แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงเกือบจะเท่าบรอคโคลี่และ บลูเบอรรี่ทีเดียวค่ะ


รู้อย่างนี้แล้ว คราวหน้าที่คุณไปเลือกซื้อผลไม้เข้าบ้าน อย่าลืมหยิบฝรั่ง 3-4 ลูกใส่ตะกร้าด้วยนะคะ



วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Health Tip of the Day: การนวด




หลายๆท่านคงชอบไปสปาเพื่อไปนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อนะคะ การนวดเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเพราะนอกจากจะทำให้อารมณ์ดี ช่วยคลายความเครียดแล้ว ยังสามารถช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสู่กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การซ่อมแซมกล้ามเนื้อเร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ




อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านที่มีอาการดังต่อไปนี้ควรจะปรึกษาคุณหมอก่อนที่จะไปนวดนะคะ:


- ความดันสูง -- การนวดจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ดังนั้นในผู้ป่วยที่มีความดันสูงอยู่แล้ว อาจจะไม่ควรนวด


- มะเร็ง -- การนวดบางประเภทที่กระตุ้นต่อมน้ำเหลือง (lymphatic massage, lymphatic drainage massage) อาจจะมีผลเสียต่อผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง เพราะระบบไหลเวียนของน้ำเหลืองเป็นเส้นทางหลักของการแพร่ตัวของเซลล์มะเร็ง




วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551

โรคเริมคืออะไร?


ตามที่ท่านผู้อ่านได้ขอมานะคะ ใน blog วันนี้ เราจึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับโรคเริมมาเล่าสู่กันฟังค่ะ


โรคเริมเกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex virus และจะออกอาการเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบ เช่นที่ริมฝีปาก (cold sores) หรือที่อวัยวะเพศ ในบางคนตุ่มน้ำเล็กๆ จะแดงและก่อให้เกิดอาการคันหรือ ปวดแสบ


เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ
1. Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไป โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่จะติดต่อได้จากการแชร์ภาชนะจานชาม แก้วน้ำ หรือมีดโกน ร่วมกับคนที่เป็นโรคเริม หรือการโดนน้ำลายของผู้ที่เป็นโรคเริมอยู่ด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการจุมพิตเป็นต้น


2. Herpes simplex virus 2 (HSV-2) มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์ มากกว่านั้นหากผู้หญิงเป็นโรคนี้และใช้วิธีคลอดธรรมชาติ ลูกก็จะติดโรคนี้และอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้



การเป็นเริมครั้งแรก จะมีอาการปวดแสบร้อนต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดง ตุ่มน้ำจะแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังมากที่สุดเพราะสามารถติดต่อได้ง่าย


หลังจากนั้น เชื้อจะอยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร (dormant stage) โดยจะฝังอยู่ที่ปมประสาท ช่วงที่ไม่มีตุ่มใดๆให้เห็นนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสติดต่อน้อย แต่น้ำลายหรือผิวบริเวนที่เคยป็นตุ่มก็ยังอาจจะมีเชื้อไวรัสคงเหลืออยู่ โดยเฉพาะช่วงที่แผลเพิ่งหาย

ผู้ที่มีเชื้อไวรัสนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และมีโอกาสที่จะเป็นซ้ำอีก อาการอาจจะน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่า มากกว่านั้น มักจะเป็นในบริเวณใกล้กับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี

ปัจจัยกระตุ้นในการกลับเป็นซ้ำ:

- ความเครียด นอนไม่พอ

- เป็นหวัด เป็นไข้

- ช่วงมีประจำเดือน

- โดนแสงแดดมากเกินไป ดังนั้นจึงควรทา lip balm ที่มี sun screen และทา sun screen ให้ทั่วบนใบหน้า


วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คุณสนใจเรื่องอะไรเกี่ยวกับสุขภาพบ้างคะ

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน

ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณที่ท่านได้ติดตามอ่าน daily health update ของ GNC นะคะ และขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้โทร หรือ email มาหาเราเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสุขภาพ อาทิ เรื่อง อาหารเสริมสำหรับคนที่เป็นสิว และ ข้อควรระวังเมื่อทานยาปฏิชีวนะ

ดิฉันและ ทีมเภสัชกร จึงขอถือโอกาสนี้สอบถามท่านผู้อ่านว่า สนใจเรื่องใดบ้าง เพื่อที่เราจะได้ไปเสาะหาข้อมูลมาให้ตรงกับความต้องการของคุณค่ะ

คุณสามารถ post comment ใน blog นี้ หรือ email มาที่ livewell@gnc.co.th นะคะ เราพร้อมที่จะให้บริการทุกเวลาค่ะ

ทีมเภสัชกร GNC Health Advisor

การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ



คุณผู้อ่านหลายๆท่าน โดยเฉพาะคุณผู้หญิง คงเคยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาแล้วนะคะ อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือ ความรู้สึกปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ปัสสาวะสีขุ่นมัว ความรู้สึกปวดช่องท้องช่วงล่าง หรือ แม้กระทั่งไข้ขึ้น

หากคุณต้องการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้กับตัวคุณบ่อยๆ เรามีเคล็ดไม่ลับมาบอกค่ะ

- ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ แต่ถ้าจำเป็นต้องกลั้นจริงๆ ก็ไม่ควรจะกลั้นนานเกินไป
- ควรจะปัสสาวะทั้งก่อนและ หลังการมีเพศสัมพันธ์
- คุณผู้หญิงควรจะเช็ดจากข้างหน้าไปข้างหลัง หลังจากการปัสสาวะ
- ควรล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกๆครั้งที่อาบน้ำ ด้วยสบู่เหลวชนิด feminine cleanser โดยเฉพาะ
- ควรใส่กางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้ายธรรมชาติ
- ควรดื่มน้ำเยอะๆ โดยเฉพาะน้ำแครนเบอรรี่ ที่สามารถช่วยในการต้านเชื้อแบกทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เป็นสิว...ทำยังไงดี?

บางท่านอาจจะคิดว่าการทายาแก้สิวอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่อย่าลืมนะคะว่าสิงเกิดขึ้นจากภายใน ดังนั้นการทายาแก้สิวจึงเป็นการแก้ปํญหาที่ปลายเหตุค่ะ

จะแก้ที่ต้นเหตุก็มีปัจจัยหลายอย่างค่ะ เริ่มตั้งแต่การนอนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ นอกจากนั้น คุณยังควรที่จะลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล ลดอาหารทอดๆ มันๆ หวานๆ เนื้อแดง เนยและ ครีม เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายของเรา (inflammation)

การรับประทานอาหารมากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) มากขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสิวนะคะ ดังนั้น คุณควรทานให้อิ่มพอดีๆค่ะ

สุดท้ายนี้ อาหารที่เผ็ด หรือรสจัดๆ เช่น พริก กระเทียม ก็มีส่วนทำให้สิวขึ้นเหมือนกันนะคะ

ส่วนอาหารเสริมที่ช่วยได้ ก็จะมี
- วิตามิน เอ ที่จะช่วยซ่อมแซมผิว
- สังกะสีที่ช่วยลดการอักเสบและ ต้านการติดเชื้อ แถมยังช่วยซ่อมแซมผิวและ กันการเกิดแผลเป็น
- โอเมกา 3 ที่ต้านแบกทีเรียและ ลดการอักเสบค่ะ

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

6 ข้อควรรู้ก่อนจะทานยาปฏิชีวนะ

1. ยาปฏิชีวนะมักจะเห็นผลค่อนข้างเร็วและ คุณอาจจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากทานยาแค่ไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม การที่คุณรู้สึกดีขึ้นไม่ได้หมายความว่าคุณหยุดทานยาได้นะคะ คุณควรทานยาให้หมดคอร์สตามที่คุณหมอแนะนำ มิฉะนั้นเชื้อโรคอาจจะถูกกำจัดออกไปไม่หมดและ คุณอาจจะป่วยอีกก็ได้ค่ะ

2. คุณหมอของคุณจะเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอาการของคุณและ ประวัติของคุณ ดังนั้น คุณจึงไม่ควรทานยาปฏิชีวนะของคนอื่น หรือเก็บยาที่คุณหมอเคยจ่ายให้ครั้งก่อนไว้ทานครั้งหน้า เพราะอาการของแต่ละคนในการป่วยแต่ละครั้งไม่เหมือนกันและ การทานยาปฏิชีวนะโดยไม่ปรึกษาคุณหมอก่อน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้นะคะ

3. คุณควรจะถามคุณหมอว่ายาปฏิชีวนะที่คุณหมอจ่ายให้จะเริ่มมีผลภายในกี่วัน และหากคุณยังไม่รู้สึกดีขึ้น คุณควรจะทำอย่างไรต่อไป

4. ยาปฏิชีวนะอาจมีผลข้างเคียงเช่น อาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หรือแพ้จนเป็นผื่นคันตามตัว นอกจากนั้น ยาปฏิชีวนะอาจจะกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายและ ก่อให้เกิดโรคเชื้อราในช่องคลอดระหว่างทานยาปฏิชีวนะ ดังนั้น คุณควรถามคุณหมอว่ายาที่คุณหมอจ่ายให้มีผลข้างเคียงอะไรบ้างและ หากอาการของผลข้างเคียงรุนแรง หรือ ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ คุณควรปรึกษาคุณหมอว่ามียาตัวอื่นที่สามารถใช้แทนกันได้หรือไม่นะคะ

5. คุณควรถามคุณหมอว่าคุณควรทานยาปฏิชีวนะพร้อมอาหารหรือไม่และ เช็คว่าคุณต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างไรบ้างระหว่างทานยาปฏิชีวนะ เช่น คุณต้องหลบแดดหรือไม่? ต้องเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลรึเปล่า? หรือต้องหลีกเลี่ยงการทานอาหารประภทใด ประเภทหนึ่งมั้ย?

6. คุณควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าต้องทานยาปฏิชีวนะอย่างไร เช่น "ทานยาวันละ 4 ครั้ง" หมายความว่าทุกๆ 6 ชั่งโมงรึเปล่า? หรือ พร้อมอาหาร 3 มื้อและ ก่อนนอน?

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สารก่อมะเร็งในอาหาร - Acrylamide



เจออีกแล้วค่ะ สารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า acrylamide (อาคริลาไมด์) ที่มีการวิจัยว่าสามารถก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองหากรับประทานในปริมานมาก


อาคริลาไมด์เป็นสารที่เกิดขึ้นเมื่ออาหารที่มีส่วนประกอบเป็นคาร์โบไฮเดรต หรือ แป้งในปริมาณสูงถูกนำไปทอด คั่ว หรือ อบด้วยอุณหภูมิที่สูง ทาง FDA ของสหรัฐอเมริกาได้ทำการวิเคราะห์อาหารหลากหลายประเภทเพื่อค้นหาปริมาณของสารอาคริลาไมด์และ ผลที่ออกมาก็คือ:


- อาคริลาไมด์สามารถสร้างขึ้นได้จากน้ำตาลและ กรดอะมิโนที่มีอยู่ในอาหารโดยธรรมชาติ เมื่ออาหารเช่นมันฝรั่ง ข้าว ธัญพืช หรือ แม้กระทั่งเมล็ดกาแฟผ่านกระบวนการทอด คั่ว หรือ อบ ก็จะทำให้สารอาคริลาไมด์ถูกสร้างขึ้นมา และการวิจัยได้พบว่า อาหารที่ทอด คั่ว หรือ อบยิ่งนาน สารอาคริลาไมด์ก็จะถูกสร้างยิ่งมากด้วยค่ะ


- แต่การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงแบบดิบๆ ก็จะป้องกันให้เราไม่ได้รับสารอาคริลาไมด์เข้าไป หากทานแบบดิบไม่ได้ การต้ม หรือ นึ่งอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ก็จะไม่ก่อให้เกิดการสร้างสารอาคริลาไมด์เช่นกัน นอกจากนั้น เนื้อสัตว์ นม ไข่และ อาหารทะเลก็ไม่มีสารอาคริลาไมด์ค่ะ


- อาหารที่พบเจอสารอาคริลาไมด์ในปริมาณที่สูงก็จะเป็นพวก เฟรนช์ ฟรายส์ มันฝรั่งอบ มันฝรั่งทอด กาแฟ ขนมปังปิ้ง ซีเรียลและ คุกกี้


- ทางนักวิทยาศาสตร์ของ FDA ได้แนะนำว่าหากคุณอยากทานมันฝรั่งก็ควรจะต้มหรือ ไมโครเวฟ แทนที่จะทอด หรือ อบ มากกว่านั้น การหั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นบางๆและ นำไปแช่ในน้ำ 30 นาทีก่อนที่จะนำมาปรุงเป็นอาหาร สามารถลดปริมาณของสารอาคริลาไมด์ได้ด้วย และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือการนำมันฝรั่งแช่ในตู้เย็นก่อนนำมาปรุงเป็นอาหาร กลับทำให้ก่อสารอาคริลาไมด์มากขึ้น ดังนั้นคุณควรเก็บมันฝรั่งไว้ในที่แห้งๆและ ไม่สว่างมากในครัวแทนนะคะ


- หากคุณเป็นคนที่ชอบทานขนมปังปิ้ง ก็ควรจะปิ้งไห้สีออกเหลืองนวลๆนิดเดียวก็พอ และพยายามอย่าทานส่วนที่เกรียมๆค่ะ


- ส่วนกาแฟเนี่ย เป็นอะไรที่นักวิทยาศาสตร์เองก็แก้กันไม่ตก เพราะเมล็ดกาแฟต้องผ่านการคั่วมาทั้งนั้น ดังนั้น คอกาแฟอาจจะต้องลองตัดใจดื่มกาแฟให้น้อยลง หรือเปลี่ยนมาดื่มชาแทนนะคะ
Reference: Limit Acrylamide in Diet, Mayo Clinic

ข้อเท็จจริงของการลดน้ำหนัก


ก่อนอื่น ทาง GNC Health Advisor ต้องขออภัยที่ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปนานหน่อยนะคะ เนื่องจากว่าต้องไปสัมนาอัพเดทเทรนด์สุขภาพ เลยยังไม่ได้มีโอกาสมาอัพเดทเวบค่ะ


ล่าสุดที่ได้ไปงานคอนเวนชั่นที่ทาง GNC อเมริกาจัดให้ ดิฉันและ ทีมงานก็ได้พบกับบริษัทผู้ผลิตอาหารเสริมหน้าใหม่ๆอยู่หลายเจ้า แต่เท่าที่สังเกตุดูแล้ว ยังไม่มีเทรนด์หรือ นวัตกรรมใหม่ในผลิตภันฑ์อาหารเสริมสำหรับการลดน้ำหนัก ส่วนประกอบสำคัญในหลายๆยี่ห้อที่ดังๆในอเมริกาก็ยังเป็นสาร thermogenics หรือ สารที่เพิ่มอุณหภูมิในร่างกายเพื่อกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญ เช่น คาเฟอีน และ กวารานา เป็นต้น ซึ่งสารประเภทนี้เป็นสารที่ทางอ.ย.ของประเทศไทยไม่อนุญาติให้มีอยู่ในอาหารเสริมสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะมีผลข้างเคียงเช่นอาการหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือ วิงเวียนศรีษะ คลื่นไส้


หากท่านผู้อ่านเคยลองสังเกตุดูด้วยตัวเอง อาจจะพบว่าเทรนด์ผลิตภันฑ์อาหารเสริมสำหรับลดน้ำหนักเป็นอะไรที่มาเร็วและ ไปเร็ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย ที่มักจะตามหา miracle pill ที่ทานแล้วสามารถเห็นผลอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องปรับวิถีชีวิตให้ออกกำลังกายมากขึ้น รับประทานอาหารให้น้อยลง และเลือกรับประทานเฉพาะอาหารที่ไม่มัน ไม่หวานจนเกินไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอาหารเสริมตัวใดที่จะสามารถมีประสิทธิผลเช่นนี้ (ยาลดความอ้วนที่มีผลกับประสาท อาจจะทำได้ แต่ท่านผู้อ่านคงจะคุ้นเคยกับความเสี่ยงต่อสุขภาพและ โยโย่ เอฟเฟกท์ ที่มากับยาลดความอ้วนประเภทนี้อยู่แล้วนะคะ)


การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดและปลอดภัยที่สุด เป็นการยึดหลักที่เรียกได้ว่า back to basics ซึ่งก็คือ การทานให้น้อยลงและ เผาผลาญให้มากขึ้น โดยอาหารเสริมสามารถช่วยได้เพียงแค่


- ให้คุณอิ่มเร็วขึ้น (กลุ่มไฟเบอร์ เช่น แอปเปิ้ล เพคติน, ไซเลี่ยม ซีด ฮัสค์, รำข้าวโอ๊ต)


- ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญน้ำตาลและ ไขมัน (สาหร่ายเคลป์, แอล-คาร์นิทีน, โครเมียม พิโคลิเนท)


อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมคือตัวเสริมส่วนหนึ่งเท่านั้น หากคุณทานอาหารเสริมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังติดทานขนม ของหวาน ของทอด ของมัน ก็จะไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ของคุณได้หรอกนะคะ จริงๆแล้วการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการลดน้ำหนักเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงคุณจะออกกำลังกาย 30 นาที ที่ฟิตเนส คุณก็อาจจะเผาผลาญไปเพียง 300 แคลอรี่ ซึ่งหากคุณไปทานผัดไท 1 จานที่มีถึง 400 กว่าแคลอรี่หลังออกกำลังกาย ก็จะเปรียบเสมือนว่าคุณไม่ได้ลดจำนวนแคลอรี่ต่อวันเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ


หากท่านผู้อ่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเคล็ดลับในการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ที่รวมไปด้วยการเตรียมพร้อมจิตใจ การเลือกอาหาร ฯลฯ ดิฉันขอแนะนำให้ลองเข้าไปดู GNC Diet Resource ที่ www.gnc.co.th/diet ค่ะ


นอกจากนั้น ทาง GNC Health Advisor มีความยินดีที่จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ที่ GNC Health Line 02-640-1200 หรือที่ livewell@gnc.co.th นะคะ