วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผลข้างเคียงของยาแก้ปวด



ก่อนที่คุณจะหยิบยาแก้ปวดมาทาน คุณควรจะรู้ว่ายาแก้ปวดตามท้องตลาดมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้างนะคะ


- การทานยาแก้ปวดที่มีสาร acetaminophen เช่น Tylenol ในปริมาณมากอาจจะทำให้ตับเสื่อมได้ ดังนั้น คนที่มีโรคตับอยู่แล้วควรจะระวังและ หลีกเลี่ยงการรัยประทานยาที่มีสารนี้ในปริมาณมาก


- การทานยาแก้ปวดกลุ่ม Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs (NSAIDs) เช่น Ponstan, Aspirin และ Ibuprofen เป็นประจำ อาจจะกัดกระเพาะ ก่อให้เกิดแผลในระบบทางเดินอาหารและ อาการปวดท้อง มากกว่านั้น การทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นระยะเวลานาน อาจจะทำให้ไตเสื่อมได้


- NSAIDs ยังสามารถทำให้ความดันสูงขึ้น และอาจจะเกิดปฏิกิริยากับยาลดความดัน

สุขภาพของชายสูงวัยและการรักษาด้วยฮอร์โมน



เพศชายในวัยสูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปจะพบว่าฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญ ผลิตจากลูกอัณฑะ เริ่มปริมาณลดน้อยลง ทั้งนี้เพราะลูกอัณฑะเริ่มเสื่อมหน้าที่ในการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศชาย การเสื่อมหน้าที่จะค่อยเป็นค่อยไปตามอายุที่มากขึ้น นอกจากลูกอัณฑะจะสร้างฮอร์โมนเพศชายแล้วยังมีต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า ดีไฮโดรอิพิแอนโตรสเตอโรน (Dehydroepiandrosterone) เรียกย่อ ๆ ว่า ดีเอช อี เอ (DHEA) ซึ่งจะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้นเช่นกัน

การที่ฮอร์โมนเพศชายลดลงช้า ๆ อาจทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่องส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ ดังนี้:

1) อาการทางระบบประสาทและจิตใจ: มีอารมณ์หงุดหงิด ซึมเศร้า ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย ขาดความคิดริเริ่ม ขาดความเชื่อมั่นตนเอง นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบตามร่างกาย เหงื่อออกมาก อาการหงุดหงิด โมโหง่าย ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ทั้งปัญหาครอบครัว หน้าที่การงาน

2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด พบได้บ่อยเช่นกัน โดยเฉพาะในชายที่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่ เป็นเบาหวานอยู่แล้ว อ้วน ขาดการออกกำลังกาย ไขมันในเลือดสูง

3) ภาวะโรคกระดูกพรุน: จะรู้สึกว่าตนเองเตี้ยลง กระดูกหักบ่อย

4) ความผิดปกติทางการได้ยิน-สายตา: เช่น ตาเป็นต้อกระจก ต้อหิน หูได้ยินไม่ดี

5) ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ: ปัสสาวะบ่อย ๆ ลำปัสสาวะเล็กลง ปัสสาวะเล็ดลาด ปัสสาวะไม่ออก เป็นต้น อาจมาจากสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก

6) หย่อนสมรรถภาพทางเพศ: พบว่าเกิดจากสาเหตุด้านร่างกายหรือด้านจิตใจ หรือทั้งร่างกายและจิตใจร่วมกัน รู้ได้อย่างไรว่าฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการสอบถามอาการต่าง ๆ ตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดและการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมแต่ละบุคคล

การรักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน มีทั้งในรูปการรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง หรือฉีดยาเดือนละเข็ม หรือใช้ชนิดแปะผิวหนัง หรือทาผิวหนังก็ได้ การใช้ยาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วนี้ ทำให้ชายสูงวัยหลายท่านร้องขอการรักษาโดยใช้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน ซึ่งมียาทั้งในรูปแบบยารับประทาน และยาฉีด รวมทั้งชนิดแปะที่ผิวหนัง ถึงแม้จะมีราคาแพงก็ตามแต่ดูว่ามีชายสูงอายุร้องขอให้แพทย์ทำการรักษาอยู่บ่อยครั้ง

แพทย์ผู้ดูแลในเรื่องนี้จึงใคร่ขอเตือนว่า มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเพศชายเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ นั้นอยู่ และข้อห้ามที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทนในชายสูงวัยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายสามารถกระตุ้นมะเร็งต่อมลูกหมากให้ลุกลามไปได้เร็วขึ้น อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่าเข้าใจผิด ส่วนในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากจากต่อมลูกหมากที่โตมาก ๆ ถือเป็นข้อควรระวังเท่านั้น เพราะในบางรายอาจจะกระตุ้นให้คนไข้ปัสสาวะไม่ออกได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมแพทย์ที่ดูแลท่านทำการตรวจทางทวารหนักและในบางรายอาจจะตรวจเช็คระดับพีเอสเอ (Prostate Specific Antigen) ของท่านด้วยก่อนเริ่มให้การรักษา ระหว่างการรักษาแพทย์ก็จะทำการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย ความเข้มข้นของเลือด รวมทั้งพีเอสเอ เป็นระยะ ๆ เพื่อความปลอดภัย

ดังนั้นท่านชายสูงวัยที่มีอาการต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ควรจะได้รับการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย รวมทั้งเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถทำการตรวจเช็คได้ในโรงพยาบาลทั่ว ๆ ไป ทั้งจากศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะและแพทย์ทั่วไปได้ ขอให้ชายสูงวัยทุกท่านมีสุขภาพที่ดี ทำประโยชน์กับสังคมของเราได้นานเท่านาน

ที่มา: บทความ น.พ. สุรพงศ์ อำพันวงษ์ โรงพยาบาลพยาไท

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เสริมวิตามิน-เกลือแร่เลี่ยงอัลไซเมอร์และโรคเรื้อรัง



โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคหนึ่งที่ ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ และยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แท้จริง การศึกษาที่ผ่านมาพบว่าโรคนี้เกิดจากการลดลงของสารสื่อประสาทชื่ออะเซติลโคลีน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารนี้ช่วยให้มนุษย์มีความสามารถในการจำ การป้องกันจึงเป็นหนทางเดียวในการปกป้องความทรงจำอันมีค่าให้ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์


ในงานเสวนาทางการแพทย์ "ปฏิวัติโภชนาการ เพื่อชีวิตใหม่ อ่อนวัย ห่างไกลโรค" จัดโดยไวเอท คอนซูเมอร์ เฮลธ์แคร์ มีการเผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ว่า การได้รับวิตามิน บี 1 บี 6 บี 12 วิตามินซี และกรดโฟลิกร่วมกันในปริมาณที่เหมาะสม จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้มากกว่าร้อยละ 50


ผลการวิจัยดังกล่าวเปิดเผยโดย ศ.เจฟฟรี่ บี บลูมเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยด้านสารต้านอนุมูลอิสระ ศูนย์วิจัยโภชนาการมนุษย์และการเปลี่ยนตามวัย มหาวิทยาลัยทัฟส์ สหรัฐอเมริกา (Tufts University) การได้รับวิตามินต่างๆ อย่างพอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์เท่า นั้น แต่ยังรวมถึงโรคเรื้อรังร้ายแรงอื่นๆ เช่น:


- การได้รับวิตามินบีรวมติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ร้อยละ 25

- ส่วนวิตามินที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามิน อี เบต้าแคโรทีน สังกะสี และทองแดงนั้น หากกินร่วมกันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาท ตาเสื่อม และต้อกระจกได้ร้อยละ 20-25

- การได้รับวิตามินรวมติดต่อกันเป็นเวลา 15 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้สูงถึงร้อยละ 80


ศ.น.พ.สุรัตน์ โคสุมินทร์ หัวหน้าหน่วยโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า คนไทยมีอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจของสำนักที่ปรึกษา กรมอนามัย พบว่าคนไทยทุกเพศทุกวัยจำนวนมากได้รับวิตามินและเกลือแร่ต่ำกว่าที่ร่างกายต้องการตามมาตรฐานปริมาณสารอาหารที่แนะนำในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้น


การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายนั้นมี 2 ข้อด้วยกัน คือ:

1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ

2. ผลิตภัณฑ์วิตามินเกลือแร่รวมนั้นต้องมีปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

14 วิธีคงความหนุ่มสาว



ปัจจุบันศาสตร์แห่งการชะลอวัย (anti-aging) เป็นที่พูดถึงอย่างมากในอเมริกาและยุโรป นี่คือเคล็ดลับ 14 ข้อที่จะคงความเป็นหนุ่มสาว จาก แพทย์หญิงพัฒศรี พงษ์สถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ


1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว

การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท่ช้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงๆต่ำๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล

2. กินหลากแหล่ง

เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค

หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุงกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

4. ลดคาเฟอีน

ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอากรมอเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ

5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน

ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการ Cow’s Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมากๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว

การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน

คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ๆเกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้นทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง

การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถงเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้

บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท

ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

11. วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว

มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

12. เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม

ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร็ธฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป

13. กินวิตามิน

วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้ แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด

14. เสริมฮอร์โมน

ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความจำแย่ลง การเผาผลาญลดลง ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น แห้ง ผมร่วง ตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine นั้น ถ้าไม่มีข้อห้าม สามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์


ที่มา : ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สีของอุจจาระบ่งบอกถึงสุขภาพคุณได้



สวัสดีค่ะ วันนี้ GNC Health Advisor มีข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของระบบทางเดินอาหารมาฝากตามคำขอที่มาจาก email นะคะ


สีของอุจจาระขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทานเข้าไปและ ปริมาณของน้ำดี (bile) ในอุจจาระ น้ำดีคือของเหลวสีเขียวๆจากถุงน้ำดีที่มีหน้าที่ช่วยย่อยไขมัน ซึ่งจะถูกเอนไซม์ต่างๆทำปฏิกิริยาด้วย เลยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลระหว่างที่ไหลลงมาตามระบบทางเดินอาหาร ดังนั้น อุจจาระที่ปกติมักจะมีสีอยู่ระหว่างเขียว-เหลือง-น้ำตาล


หากอุจจาระเป็นสีเขียวเข้ม อาจจะหมายความว่า

- อาหารได้ไหลผ่านระบบทางเดินอาหารเร็วเกินไป (เช่นเวลาท้องร่วง) จนน้ำดียังไม่ได้มีปฏิกิริยากับเอนไซม์และ ยังไม่ได้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นน้ำตาล หรือ

- คุณได้ทานผักสีเขียวในปริมาณมาก หรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก


หากอุจจาระเป็นสีขาว หรือ สีอ่อนมากๆ อาจจะหมายความว่า

- อุจจาระไม่มีน้ำดี ซึ่งอาจจะหมายความว่ารูทางออกของถุงน้ำดีมีอะไรไปอุดไว้

- คุณอาจจะทานยาบางตัวที่มี bismuth subslicylate มากเกินไป ซึ่งยากลุ่มนี้จะพบได้มากในยาแก้ท้องร่วง


หากอุจจาระเป็นสีเหลือง มีน้ำมันและ มีกลิ่นเหม็นมาก อาจจะหมายความว่า

- อุจจาระมีไขมันมากเกินไป ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับปัญหาในระบบดูดซึมสารอาหารและ ควรจะพบแพทย์


หากอุจจาระเป็นสีดำ อาจจะหมายความว่า
- มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหรช่วงบน เช่นกระเพาะ หรือ

- ตุณทานอาหารเสริมธาติเหล็ก หรือ ทาน black licorice เข้าไป


หากอุจจาระเป็นสีแดงสด อาจจะหมายความว่า

- มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหรช่วงล่าง เช่นลำไส้ใหญ่ หรือ

- คุณได้ทานอาหารที่มีสีแดงเช่น แครนเบอรี่ บีทส์ น้ำมะเขือเทศ หรือเยลลี่สีแดง

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หญ้าหวาน...หวานได้แบบไร้แคลอรี่ แต่จะปลอดภัยจริงหรือเปล่า?



ข่าวล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาค่ะ บริษัทคาร์กิล (Cargill) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการเกษตร กำลังจะออกผลิตภัณฑ์ "ทรูเวีย" ในตลาดสหรัฐเร็วๆ นี้ โดย "ทรูเวีย" เป็นน้ำตาลธรรมชาติ ผลิตจากสตีเวีย (stevia) หรือหญ้าหวาน เป็นไม้ท้องถิ่นในปารากวัย ไม่มีแคลอรี น้ำตาลจากหญ้าหวานนี้จะวางขายในราคา 130 บาท ต่อน้ำตาล 40 ซอง


ในต้นปีหน้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อย่างซีเรียล โยเกิร์ต ขนมที่ขายเป็นแท่งๆ จะนำน้ำตาลอย่างหญ้าหวานมาใช้ ตามกฎหมายแล้ว สตีเวียได้รับการรับรองว่าเป็นอาหารเสริมในญี่ปุ่น บราซิล และจีน ยกเว้นในสหรัฐและสหภาพยุโรป โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐจำแนก "สตีเวีย" ว่า เป็นอาหารเสริมที่ไม่ปลอดภัย โดยจากการศึกษาของหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล พบว่า หนูที่กินสตีเวียจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในตับ และอาจเกิดผลกระทบต่อการมีบุตรในชาย


สำหรับบริษัทคาร์กิล แถลงว่า ได้ปรึกษากับองค์การอาหารและยาของสหรัฐมาเป็นเวลากว่า 3 ปี และใช้ส่วนประกอบในใบของสตีเวียเท่านั้น ไม่ได้ใช้สตีเวียทั้งใบ

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้อควรรู้เกี่ยวกับครีมกันแดด



ตอนนี้ทุกๆคนก็คงพอทราบถึงความสำคัญของการทาครีมกันแดด เพราะมีโฆษณาสินค้ากลุ่มนี้ออกมามากมายเหลือเกิน แต่หลายๆคนก็คงยังจะงงอยู่ว่า ตกลงแสง UVA กับ UVB มันต่างกันอย่างไร และ ทำไมเราถึงต้องระวังมันเป็นพิเศษ? แล้วพวกสารกันแดดทั้งหลายทั้งปวงที่เห็นตามโฆษณาน่ะ มันต่างกันอย่างไร? ใน GNC Health Update วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ


ก่อนอื่นเลย ขออธิบายก่อนว่า ที่เราต้องทาครีมกันแดด (ทั้งตัวนะคะ ไม่ใช่ดูแลใบหน้าอย่างเดียว) นั้น เป็นเพราะว่ารังสี UVA จะทำให้ผิวเราเกิดริ้วรอย และเป็นต้นเหตุหลักของการดูแก่ก่อนวัย ส่วนรังสี UVB เป็นตัวการที่ทำให้ผิวเราไหม้ มิหนำซ้ำ รังสีทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังที่สามารถคร่าชีวิตคุณได้ รู้อย่างนี้แล้ว คงพอเข้าใจถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการทาครีมกันแดดให้ทั่วๆตัวทุกครั้งก่อนที่จะออกไปโดนแดดนะคะ


แต่อย่าหลงคิดนะคะ ว่าทาครีมกันแดดอะไรก็ได้ แล้วจะปลอดภัยจากรังสีUVA และUVB เพราะสารกันแดดหลายตัวกลับสลายตัวเมื่อโดนแดด! นอกจากนั้น สารกันแดดบางตัวก็สามารถกันได้เฉพาะรังสี UVB เท่านั้น


Zinc Oxide และ Titanium Dioxide เป็นสารกันแดดที่นักเคมีต่างเห็นพ้องว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการกันแดดได้ดีกว่าสารอื่นๆในท้องตลาด เพราะสาร 2 ตัวนี้สามารถป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB แถมยังไม่สลายตัว หรือ สูญเสียประสิทธิภาพในการกันแดดได้ง่ายๆด้วย วิธีที่สารสองตัวนี้กันแดด คือการสะท้อนรังสีนี้ออกไปจากผิวหนัง หรือที่เรียกว่าเป็น Physical Blockers


ส่วนสารกันแดดที่เป็น Chemical Blockers จะดูดซึมรังสีและไม่ให้มันทะลุเข้าไปใต้ผิวหนัง ที่ใช้มากในท้องตลาดคือ:

- Oxybenzone (กันรังสี UVB ได้มากแต่ UVAได้แค่บางส่วน),

- Avobenzone (กันรังสี UVA ได้อย่างเดียว),

- Mexoryl SX (กันรังสี UV ได้ทั้ง 2 แบบ),

- Helioplex (เป็นสารป้องกันการเสื่อมสภาพของสารกันแดดและ มีใช้ในสูตรที่ผสม Avobenzone และ Oxybenzone)


โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้ชี้แจงว่า Physical Blockers นั้นมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า Chemical Blockers อย่างไรก็ตาม Physical Blockers ก็มีข้อด้อยตรงที่จะทำให้ใบหน้าดูขาววอก จึงมีเฉพาะสาวหมวยหนุ่มตี๋/ยุ่น/ เกาหลี หรือ ฝรั่งที่จะพอใช้ครีมกันแดดประเภทนี้ได้


ในจำนวน Chemical Blockers นั้น Mexoryl และ Helioplex จะมีความเสถียรที่ดีกว่าตัวอื่นๆ อย่างไรก็ตาม Environmental Working Group (EWG) ของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแสดงถึงความกังวลว่า Chemical Blockers อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับฮอร์โมนของร่างกายได้


ถึงแม้ในขณะนี้ยังไม่มีการวิจัยที่ชี้ชัดว่าการใช้ Chemical Blockers มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่เพื่อความสบายใจ เราแนะนำให้เลือกซื้อครีมกันแดดสูตรที่มี Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide อย่างน้อย 7 % โดยเฉพาะเมื่อใช้กับเด็กและ ทารก โดยครีมกันแดดนั้น ควรจะมีค่า SPF อย่างน้อย 30 สำหรับวิธีการใช้ที่ถูกต้องนั้น คือต้องทาครีมก่อนออกแดดซัก 20-30 นาทีและ ควรจะทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมงค่ะ


ส่วนบางคนที่อาจจะถามว่า แล้วถ้าเราใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวล่ะ จะกันแดดได้หรือไม่? คำตอบก็คือ ได้ต่อเมื่อผ้านั้นถูกทอมาอย่างแน่นมากๆ ซึ่งวิธีการทดสอบว่าแน่นพอหรือไม่นั้น สามารถทำได้ง่ายๆค่ะ เพียงคุณนำไฟฉายส่องไปที่ผ้า แล้วดูว่ามีแสงเล็ดลอดไปอีกฝั่งของผ้ามั้ย หากไม่มีก็แสดงว่าผ้าตัวนี้สามารถกันแดดได้ค่ะ


หวังว่าข้อมูลที่เราสรรหามาให้คุณผู้อ่าน จะมีประโยชน์และ ช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อครีมกันแดดที่ดีที่สุดสำหรับคุณและ ครอบครัวนะคะ


วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

รักษาความเฉียบคมของสมอง ด้วยเกมส์ลับสมองแบบ Anti-Aging!

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน วันนี้ทีม GNC Health Advisor มีเกมส์ลับสมองมาฝากค่ะ เดี๋ยวนี้ใครๆก็พูดถึง Anti-Aging แต่การคงความอ่อนเยาว์ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับผิวพรรณ หรือ รูปร่างเท่านั้นนะคะ ความเฉียบคมของสมองคุณก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้น เราจึงขอแนะนำเกมส์สนุกๆที่ถูกสร้างมาเพื่อช่วยบริหารสมองของคุณโดยเฉพาะ เพียงคลิกไปที่: http://www.prevention.com/cda/categorypage.do?channel=health&category=brain.fitness&topic=brain.games&cm_mmc=Mag_URL-_-2007_November-_-Health-_-brain%20games

เล่นแล้วเป็นอย่างไร อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ระดับฮอร์โมนไธรอยด์ "ปกติ" แต่ยังอ้วนง่าย?



ข่าวล่าสุดจากการวิจัยของ National Heart, Lung and Blood Institute ที่ Massachusetts สหรัฐอเมริกาชี้ว่า ระดับฮอร์โมนไธรอยด์ TSH ที่อยู่ในระดับ "ปกติ" ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่อ้วนง่าย


ฮอร์โมน TSH เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบการเผาผลาญ ระดับฮอร์โมน TSH ที่ปกติจะอยู่ระหว่าง 0.5-5.0 และหากระดับฮอร์โมน TSH ในผลตรวจเลือดของคุณอยู่ในระดับ"ปกติ" แพทย์ก็อาจจะบอกว่า ที่คุณช่วงนี้น้ำหนักขึ้นเร็วกว่าปกตินั้น ไม่เกี่ยวกับระดับฮอร์โมน


อย่างไรก็ตาม การวิจัยได้ชี้ว่า ผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมน TSH ใกล้ๆ 5.0 จะน้ำหนักเพิ่มขึ้นเยอะกว่าถึง 2 กิโล เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมน TSH ที่ต่ำกว่า ซึ่งก็หมายความว่า หากคุณมีระดับฮอร์โมน TSH ประมาณ 4.8 และเพื่อนคุณมีระดับฮอร์โมน TSH ประมาณ 2.0 โดยเฉลี่ยแล้วคุณจะน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าเพื่อนถึง 2 กิโลในระยะเวลาเดียวกัน


ยังดีที่ระดับ TSH สามารถควบคุมได้ด้วยยาในกรณีที่มีความจำเป็น หากคุณสงสัยว่าน้ำหนักที่พุ่งขึ้นอย่างพรวดพราดเป็นเพราะระดับฮอร์โมน TSH เราแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์และ ตรวจเลือดให้แน่ใจนะคะ


วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สุขภาพเท้า...สิ่งที่คุณไม่ควรละเลย



วันนี้ GNC Health Advisor มีข้อควรรู้เกี่ยวกับสุขภาพเท้ามาให้คุณผู้อ่านนะคะ เพราะเท้าเป็นส่วนของร่างกายที่ถูกใช้งานมาก แต่ก็ถูกละเลยมากที่สุดเลยก็ว่าได้


1. รองเท้าแตะไม่ดีต่อเท้าคุณอย่างที่คิด

บางคนอาจจะคิดว่า วิธี 'ทรมาน' เท้าที่หนักที่สุดคือการใส่รองเท้าส้นสูงคู่สวยที่ใส่ทุกทีก็ต้องทั้งเมื่อยทั้งหนังถลอกทุกที แต่ทราบมั้ยคะว่า รองเท้าแตะกับรองเท้าส้นแบนคู่เก่งของเรานี่แหละ เป็นตัวดีที่ทำให้เป็นเส้นเอ็นอักเสบ หรือ ข้อเท้าเคล็ดได้? เหตุผลก็คือรองเท้าแตะและ รองเท้าส้นแบน (flats) จะไม่สามารถรองรับน้ำหนัก ส่วนเว้าส่วนนูนของเท้า หรือ ช่วยในการดูดซับการกระแทกได้ มากกว่านั้น การใส่รองเท้าส้นแบนแบบหัวปิด (ballet flats) อาจทำให้นิ้วเท้าเบียดกันมากเกินไปและ ส้นเท้าปวดระบมด้วยค่ะ


ดังนั้น เราจึงอยากแนะนำว่า อย่าใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าส้นแบนหากคุณต้องเดินหลายๆชั่วโมงนะคะ แต่ถ้าจะใส่ออกไปเดินประเดี๋ยวประด๋าวก็ไม่ว่ากันค่ะ


2. มะเร็งผิวหนังที่เท้า อาจทำให้เสียชีวิตได้

คาดว่าหลายๆคนคงจะคุ้นเคยกับโฆษณาครีมกันแดดที่มักจะเห็นแต่ใบหน้าหรือแขนขาของนางแบบใช่มั้ยคะ? แต่ทราบหรือไม่คะว่า เท้าของคุณก็ต้องการครีมกันแดดเช่นกัน? คนส่วนใหญ่มักจะละเลยการทาครีมกันแดดลงบนเท้า และไม่ค่อยสังเกตุถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในบริเวณนั้นด้วย ผลก็คือคนที่เป็นมะเร็งผิวหนังที่เท้า มักจะพบเจอมะเร็งเมื่อสายเกินจะรักษา มะเร็งผิวหนังที่เท้าจึงเป็นประเภทของมะเร็งผิวหนังที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ดังนั้น ทุกๆครั้งที่คุณทาครีมกันแดดที่ใบหน้า อย่าลืมที่จะทาที่ตัวและเท้าด้วยนะคะ และต้องไม่ลืมที่จะทาซ้ำบ่อยๆหากคุณไปเที่ยวทะเล หรือไปว่ายน้ำ เพราะครีมกันแดดจะมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อโดนน้ำค่ะ


3. อุปกรณ์ร้านทำเล็บไม่ได้สะอาดเสมอไป

สาวๆหลายคนที่ชอบไปร้านทำเล็บบ่อยๆ ต้องเลือกร้านดีๆนะคะ บางร้านที่ไม่ใส่ใจกับการทำความสะอาดและ การฆ่าเชื้ออุปกรณ์ อาจจะทำให้คุณเป็นเชื้อราที่เล็บ หรือ ติดเชื้อโรค ทางที่ดีคือคุณควรนำอุปกรณ์เช่นตะไบ กรรไกตัดเล็บ กรรไกตัดหนังและ ไม้ดันหนังไปเอง หรือถ้าคุณจะใช้อุปกรณ์ของที่ร้าน ก็ต้องเช็คว่าเค้ามีการอบความร้อนหรือเช็ดแอลกอฮอลฆ่าเชื้อหรือเปล่า มากกว่านั้น ควรจะให้ร้านใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเช่น เดตตอล ล้างอ่างแช่มือแช่เท้าก่อนที่คุณจะใช้ต่อจากลูกค้าคนก่อนหน้าคุณนะคะ กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ


4. ตัดแล็บเท้าตรงๆ สั้นๆจะทำให้เล็บขบ

การตัดเล็บเท้าแบบตรงๆ หรือตัดจนสั้นเกินไป อาจทำให้เล็บขบได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน เล็บขบที่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษานอกจากจะเจ็บจนน้ำตาจะเล็ดแล้ว ยังก่อให้เกิดการอักเสบและ ติดเชื้อได้ หากติดเชื้อจนเป็นหนองแล้วก็อาจจะต้องผ่าตัดเพื่อรักษาค่ะ


ฟังดูทั้งน่าเจ็บและ น่ากลัวขนาดนี้ หันมาตัดเล็บเท้าให้ถูกวิธีโดยการตัดตามความโค้งธรรมชาติของเล็บดีกว่านะคะ

5. แช่เท้าในน้ำส้มสายชูไม่สามารถฆ่าเชื้อราในเล็บเท้าได้

บางคนอาจจะเคยได้ยินสูตร'รักษา' เชื้อราในเล็บเท้า ที่ให้เรานำเท้าไปแช่ในน้ำส้มสายชู แต่ความจริงก็คือน้ำส้มสายชูไม่สามารถซึมเข้าไปถึงใต้เล็บได้ และการแช่เท้าอาจจะทำให้เชื้อราลามไปที่เล็บอื่นๆอีกด้วยค่ะ


6. หูดติดกันได้ แถมติดง่ายด้วย

หูดที่เท้าเป็นเชื้อไวรัสที่ติอกันได้ง่ายมากๆ โดยเฉพาะในพื้นของที่สาธารณะ เช่นห้องน้ำรวมในหอพัก ฟิตเนสและ สปาต่างๆ หรือ แม้กระทั่งห้องลองเสื้อผ้า ส่วนใหญ่แล้วคุณจะติดเชื้อได้หากเท้าคุณมีแผล หรือรอยแตกไม่ว่าจะเล็ก หรือ ใหญ่ ดังนั้น หากคุณต้องใช้ห้องอาบน้ำสาธารณะตามสถานที่เหล่านี้ ก็ควรจะพกรองเท้าแตะแบบพลาสติกไปใส่ด้วยนะคะ และเวลาลองเสื้อผ้าที่ต้องถอดรองเท้า ก็ควรหาผ้าอะไรมารองเท้าคุณซะหน่อยเพื่อกันการติดเชื้อค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม



สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงหลักๆของมะเร็งเต้านมมาฝากนะคะ หลายๆคนคงทราบอยู่แล้วว่ากรรมพันธุ์, การที่เกิดมาเป็นเพศหญิง, การเริ่มมีประจำเดือนเมื่ออายุยังน้อย และอายุ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆของมะเร็งเต้านม และเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ข่าวดีก็คือ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายๆปัจจัย ที่เราสามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้ เช่น:


1. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล --ไม่ควรดื่มเลยจะดีที่สุด


2. การออกกำลังกาย --ยิ่งสม่ำเสมอยิ่งดี และไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงที่หุ่นดีแล้วไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายนะคะ ผู้หญิงที่ผอมแต่ไม่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงที่หุ่นพอๆกันแต่ออกกำลังกายเป็นประจำค่ะ มากกว่านั้น มีการวิจัยมาแล้วว่าผู้หญิงที่ออกกำลังกายหนักๆอาทิตย์ละ 3 ชั่งโมงจะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้ถึง 20% เชียวนะคะ


3. การคุมน้ำหนักตัว --น้ำหนักยิ่งเกินมาตรฐาน โอกาสเป็นมะเร็งเต้านมก็จะยิ่งมากขึ้นด้วย


4. การเสริมฮอร์โมน --เนื่องจากว่ามะเร็งเต้านมมีความเกี่ยวพันกับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ดังนั้นควรจะหลีกเลี่ยงการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นจากการทานยาคุมกำเนิด หรือ การรักษาด้วยการทดแทนฮอร์โมน มีการวิจัยชี้ชัดแล้วว่าการทานยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน จะเพิ่มโอกาสการป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นหากเป็นไปได้ หากคุณเข้าสู่วัยทองและกำลังรับการรักษาอาการด้วยการทดแทนฮอร์โมน (hormone replacement therapy) ขอแนะนำให้ใช้ฮอร์โมนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และให้ทำการรักษาในระยะเวลาที่ยิ่งสั้นยิ่งดี


5. การเลือกที่จะมีลูกเร็วขึ้นและ ให้นมลูก --ผู้หญิงที่มีลูกเมื่ออายุมากกว่า 30 หรือ ผู้หญิงที่ไม่เคยตั้งครรภ์เลย จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมที่สูงกว่าผู้หญิงที่มีลูกตอนก่อน 30 อย่างไรก็ตาม หากมีลูกแล้วสามารถให้นมลูกเอง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และการให้นมลูกเองยิ่งนานก็จะยิ่งลดความเสี่ยงลงด้วย


6. การตรวจหามะเร็งเต้านมเป็นประจำ --ไม่ว่าจะป็นการคลำตรวจเองทุกๆเดือนหรือ การไปตรวจด้วยเครื่อง mammogram และหากคุณเป็นคนที่มีเนื้อเต้านมที่แน่นหนา (dense breast tissue) คุณก็จะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้นด้วย


เราหวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านได้ปรับวิถีชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมนะคะ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

6 วิธีกันกระดูกพรุน



ทราบมั้ยคะว่า โรคกระดูกพรุนสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ชายเช่นเดียวกัน ? ในสหรัฐอเมริกา มีผู้หญิงกว่า 8 ล้านคนที่เป็นโรคนี้ และผู้ชายอีกกว่า 2 ล้านคนที่เป็นโรคนี้ อย่างไรก็ตาม วันนี้ GNC Health Advisor มี 6 เคล็ดไม่ลับที่จะช่วยให้คุณป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนค่ะ


1. รู้อาการของโรคกระดูกพรุน

หากคุณมีความรู้ว่าอาการของโรคกระดูกพรุนมีอะไรบ้าง คุณก็จะสามารถหยุดความเสียหายต่อกระดูกของคุณได้แต่เนิ่นๆนะคะ


ในช่วงแรกของการเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยมักจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่จะมารู้ว่าตัวเองเป็นโรคกระดูกพรุนเมื่อพบว่ามีกระดูกร้าว ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นกระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือที่จะร้าวก่อนเมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน และเมื่อกระดูกเปราะบางลงเรื่อยๆ ผู้ป่วยก็จะเริ่มรู้สึกปวดหลัง เตี้ยลง หรือหลังค่อมมากขึ้น


โรคกระดูกพรุนเกิดขึ้นเพราะว่าร่างกายสูญเสียมวลกระดูกมากกว่าที่สามารถผลิตขึ้นมาทดแทนใหม่ได้ ก่อนที่คนเราอายุ 35 ร่างกายจะสามารถผลิตมวลกระดูกมาทดแทนได้เร็วและ ในจำนวนที่มากกว่าที่เสียไป แต่พอเราอายุ 40 กว่า ร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างมวลกระดูกขึ้นมาทดแทนที่เสียไปได้อย่างเพียงพอค่ะ


2. วัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเป็นประจำ

การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเป็นสิ่งที่ง่ายและไม่เจ็บตัวเลยค่ะ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกคือการใช้ Dual Energy X-Ray Absorptiometry (DEXA) ซึ่งจะวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกในบริเวณสันหลัง สะโพกและ ข้อมือ- 3 บริเวณหลักที่จะเกิดการร้าวจากโรคกระดูกพรุน นอกจากวิธีนี้ ยังมีการใช้คลื่นอัลตร้าเซานด์ และ CT Scan ที่สามารถตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกได้เช่นกัน


3. รักษาระดับเอสโตรเจนในร่างกาย

สำหรับผู้หญิง โรคกระดูกพรุนมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับวัยทอง เพราะวัยทอง หรือ ช่วงหมดประจำเดือน เป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง และฮอร์โมนเอสโตรเจนมีความสำคัญอย่างยิ่งกับความหนาแน่นของมวลกระดูก ขนาดที่ว่าการลดลงอย่างฮวบฮาบของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลทำให้ปริมาณของมวลกระดูกลดลงถึงปีละ 1 - 3 %


สำหรับผู้ชายนั้น ฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนส่วนหนึ่งจะถูกนำไปเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่มีความสำคัญต่อความหนาแน่นของมวลกระดูกในร่างกายของผู้ชายเช่นกัน ดังนั้น เมื่อผู้ชายเริ่มมีอายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนก็จะลดลง ซึ่งมีผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่แปลงมาจาดเทสทอสเตอโรนลดลงเช่นเดียวกัน และการที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้ชายลดลง ก็ทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกของผู้ชายลดลงเช่นเดียวกับที่เป็นในร่างกายผู้หญิง


ดังนั้น หากโรคกระดูกพรุนของผู้ป่วยทั้งชายและ หญิงมีสาเหตุมาจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการทดแทนฮอร์โมนอย่างธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เราอยากเตือนว่าการทดแทนฮอร์โมนอย่างธรรมชาติก็อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ดังนั้นผู้ป่วยควรจะปรึกษาแพทย์ให้ละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่จะตัดสินใจใช้วิธีนี้เป็นการรักษาค่ะ


4. รักษาระดับ pH ของร่างกาย

ความไม่สมดุลของระดับ pH (ความเป็นกรด-ด่าง) สามารถทำใหสูญเสียแคลเซียมในกระดูกได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคกระดูกพรุน ความเครียด การขาดการออกกำลังกาย มลภาวะ และการรับประทานอาหารเปรี้ยวๆล้วนทำให้เกิดความเป็นกรดสูงในร่างกาย ในเมื่อร่างกายเราต้องคงสภาพความเป็นด่างนิดๆ สภาวะที่เป็นกรดจะทำให้ร่างกายเราต้องดึงเอาแร่ธาติที่มีความเป็นด่างมาช่วยปรับสภาพ pH ให้กลับมาเหมือนเดิม โดยการดึงแคลเซียมออกจากกระดูกเป็นต้น


การปรับอาหารจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยรักษาระดับ pH ในร่างกาย ในแต่ละวัน 60-80% ของอาหารที่คุณทานควรจะมีความเป็นด่างและ อีก 20-40% ควรจะมีความเป็นกรด ผลไม้และ ผักเกือบทุกชนิด (นอกจากมะเขือเทศ และผลไม้ตระกูลเบอรรี่) เป็นอาหารที่มีความเป็นด่าง ส่วนอาหารที่มีความเป็นกรดคือพวกโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นต้น


5. ใช้ชีวิตอย่างสุขภาพดี

การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลมากเกินไป และการขาดการออกกำลังกายล้วนแต่ทำให้หระดูกไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีผลให้อัตราการสร้างมวลกระดูกน้อยลง


คุณควรจะออกกำลังกายอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีเพื่อที่จะเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก การออกกำลังกายกลางแจ้งจะทำให้ร่าง

กายได้สร้าง วิตามิน D ที่จะช่วยให้กระดูกดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นด้วยค่ะ


6. เสริมแคลเซียม

ผู้หญิงก่อนวัยทอง และ ผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 65 ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อย 500 mg ต่อวัน บางคนอาจจะต้องรับถึง 1000 mg ต่อวันเนื่องจากว่าร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างเต็มที่ และอาหารเสริมแคลเซียมบางชนิดไม่มี co-factor หรือสารประกอบ ที่จะช่วยในการดูดซึมของแคลเซียม เช่นวิตามิน ดี และ แมกนีเซียม แคลเซียมชนิดที่ดูดซึมได้ดีที่สุดคือ แคลเซียม ซิเทรท มาเลท ที่มีวิตามิน ดีและ แมกนีเซียมผสมอยู่ด้วย


ส่วนผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองแล้ว และ ผู้ชายที่อายุมากกว่า 65 ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อย 1000-12000 mg ต่อวันค่ะ

ทานเนื้อแล้วต้องทานไวน์แดงด้วย



คิดว่าท่านผู้อ่านหลายๆท่านคงจะชอบทานเนื้อสัตว์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นเสต็กเนื้อ คอหมูย่าง พอร์คชอป ไก่ย่าง ล้วนแต่เป็นอาหารที่หลายๆท่านโปรดปรานกันทั้งนั้น


แต่ว่าบางคนก็อาจจะรู้สึกผิดทุกครั้งที่ทานเนื้อสัตว์เยอะๆ เพราะรู้มาว่าการทารเนื้อสัตว์จะก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายกับสุขภาพเราเพราะสารนี้อาจเป็นบ่อเกิดของโรคมะเร็งและ โรคร้ายอื่นๆอีกมากมาย


โชคดีนะคะ ที่การวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัย Hebrew University ในประเทศอิสราเอลได้ค้นพบว่า การดื่มไวน์แดงพร้อมกับการทานเนื้อสัตว์ สามารถช่วยลดปริมาณของสารอนุมูลอิสระในกระเพาะและกระแสเลือดได้ เพราะไวน์แดงมีสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่ชื่อว่า polyphenols ที่ช่วยลบล้างสารอนุมูลอิสระจากการทานเนื้อสัตว์ค่ะ


นอกจากไวน์แดงแล้ว ท่านผู้อ่านยังสามารถตุนสาร polyphenols จากอาหารดังต่อไปนี้ค่ะ

- หัวหอม
- แอปเปิ้ล

- ชาเขียว

- สตรอเบอรรี่

- ราสเบอรรี่

- บลูเบอรรี่

- แครนเบอรรี่


ดังนั้น เมื่อไหร่ที่ท่านผู้อ่านจะต้องทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์เยอะๆ ก็อย่าลืมทานอาหารที่มีสาร polyphenols เข้าไปด้วยเพื่อปกป้องร่างกายจากสารอนุมูลอิสระนะคะ


วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ไฟเบอร์ มีดีอย่างไร?



เป็นที่รู้กันมานานนมแล้วว่าไฟเบอร์มีบทบาทในการลดน้ำหนัก แต่หากถามต่อไปว่าไฟเบอร์ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างไร น้อยคนนักที่จะตอบได้ วันนี้เราจึงอยากชวนคุณๆผู้รักสุขภาพมาทำความรู้จักกับไฟเบอร์ให้มากขึ้นอีกนิดแล้วคุณก็จะได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไฟเบอร์มีดีที่ตรงไหน

ไฟเบอร์ (fiber) คือ กากใยอาหารซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้ โดยร่างกายคนเราจะได้รับไฟเบอร์จากการบริโภคพืชผัก และ ผลไม้ โครงสร้างของไฟเบอร์ประกอบไปด้วยโมเลกุลน้ำตาลเรียงต่อกันอย่างซับซ้อน โดยไฟเบอร์จะไม่โดนย่อยด้วยกรดในกระเพาะอาหารและเอนไซม์ในลำไส้เล็ก ไฟเบอร์แบ่งได้ 2 ชนิดคือไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ (soluble fiber) พวกนี้สามารถละลายน้ำ เห็นเป็นเมือกใส ๆ หรือขุ่นคล้ายยาง พบมากในผลไม้ ข้าวโอ๊ต และ พืชตระกูลถั่ว โดยไฟเบอร์ละลายน้ำนี้จะมีคุณประโยชน์ ในขัดขวางการดูดซึมไขมันจึงช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความอ้วน และควบคุมน้ำตาล ส่วนไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber) จะยังคงเห็นเป็นกากใย พบมากในข้าวซ้อมมือ รำข้าวทุกชนิด และผักต่าง ๆ


ไฟเบอร์แบบไม่ละลายน้ำนี้จะไปเบียดบังพื้นที่ในทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มจึงช่วยให้ลดความอ้วนได้ อีกทั้งยังเพิ่มกากใยทำให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ จึงลดโอกาสการดูดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ๆได้ด้วย


โดยทั่วไปแล้วร่างกายคนเราต้องการไฟเบอร์ในปริมาณ 25-30 กรัมต่อวัน โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ได้แก่ธัญพืชไม่ขัดสีเช่นขนมปังโฮลวีท ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียวต่างๆ และผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์มากได้แก่แอ๊ปเปิ้ล ส้มทั้งผล โดยเฉพาะใยขาวๆที่ใครหลายคมชอบหยิบทิ้งนั่นล่ะค่ะแหล่งไฟเบอร์อย่างดี สตรอว์เบอรรี่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย กีวี และ อะโวคาโดเป็นต้น

จะเห็นได้ว่าไฟเบอร์มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายอย่าง รู้อย่างนี้แล้วก็หันมาบริโภคผักผลไม้ และ อาหารที่มีไฟเบอร์กันเยอะๆนะคะ จะได้เป็นเจ้าของหุ่นดี สุขภาพดีกันถ้วนหน้ายังไงล่ะคะ

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551

อย่าปล่อยให้ตาไหม้!




ในช่วงหน้าร้อน หลายๆคนมักจะคิดแต่เพียงว่าต้องปกป้องผิวด้วยสารกันแดด แต่ทราบหรือไม่คะว่า ดวงตาของคุณก็สามารถโดนแสง UV ทำให้ "ไหม้" ได้เช่นกัน! การที่ดวงตาโดนแสง UV จากแสงแดดมากเกินไปจะทำให้เกิดโรคตาต้อ การเสื่อมสภาพของเลนส์ตา ฯลฯ


ดังนั้น เราจึงควรปกป้องดวงตาของเราด้วยวิธีง่ายๆ 2 วิธี:

1. ใส่หมวกที่มีปีกใหญ่ๆเวลาที่อยู่ใต้แสงแดดแรงๆ

2. ใส่แว่นกันแดดที่มีคุณภาพดี และมีระบุว่ากันแสง UV-A และ UV-B ได้ 99% มากกว่านั้น ควรจะใส่แว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกในระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นวันที่แดดจ้าหรือเมฆเยอะ


กลุ่มของเด็กและวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่ต้องดูแลดวงตามากที่สุด เพราะกลุ่มนี้มักจะใช้เวลาใต้แสงแดดมากกว่าผู้ใหญ่ นอกจากนั้น เลนส์ของดวงตาเด็กและวัยรุ่นมักจะบางและใสกว่าของผู้ใหญ่ ซึ่งจะทำให้แสง UV เข้าไปทำลายดวงตาได้ลึกขึ้น ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ปกครองก็ควรจะซื้อแว่นกันแดดให้ลูกหลานด้วยนะคะ


วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ทานมื้อเช้าให้อิ่มๆ เพื่อลดความอ้วนอย่างไม่โยโย่



คนทำงานหลายๆคนมักจะไม่ทานข้าวเช้า เพราะต้องรีบออกไปทำงาน แต่ทราบมั้ยคะว่า การทานข้าวเช้าที่มีทั้งแป้งและโปรตีนให้อิ่มๆ จะมีผลกับการลดน้ำหนักในระยะยาวที่ดีกว่า และช่วยให้ไม่โยโย่ด้วยค่ะ


การวิจัยของ Virginia Commonwealth University นี้ มีผู้ร่วมอยู่ทั้งหมด 94 คน ซึ่งทุกคนเป็นผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ไม่ค่อยออกกำลังกาย และเฉลี่ยอายุอยู่ที่ 30กว่าๆ ผู้ร่วมวิจัยถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม:


- กลุ่มแรกจะต้องทานอาหารที่มีแป้งน้อย (low carbohydrate diet) และให้ทานมื้อเช้าแค่ 290 แคลอรี่เท่านั้น ซึ่งก็จะประกอบด้วย นม 1 แก้ว ไข่ 1 ฟอง เบคอน 3 แผ่น และ เนย 2 ช้อนชา ผู้ร่วมวิจัยในกลุ่มนี้ทานอาหารประมาณ 1,085 แคลอรี่ต่อวัน

- กลุ่มที่สองไม่ได้มีการจำกัดกลุ่มอาหาร แต่ต้องทานมื้อเช้าที่มีประมาณ 600 แคลอรี่ ซึ่งมักจะประกอบด้วย นม 1 แก้ว เนยแข็ง ไก่งวง ขนมปัง 2 แผ่น มายอนเนส ชอกโกแลต 1 ออนซ์ และโปรตีน สมูทธี่ 1 แก้ว ผู้ร่วมวิจัยในกลุ่มนี้ทานอาหารประมาณ 1,240 แคลอรี่ต่อวัน


ทั้ง 2 กลุ่มทำตามสูตรลดน้ำหนักนี้อยู่ 4 เดือน แล้วค่อยปรับเป็น maintenance phase หรือช่วงที่คุมน้ำหนักให้คงที่อีก 4 เดือน ใน 4 เดือนแรก กลุ่มที่ทานข้าวเช้าน้อยๆลดน้ำหนักได้เยอะกว่า (28 ปอนด์เทียบกับ 23 ปอนด๋) แต่หลังจาก maintenance phase กลุ่มที่ทานข้าวเช้าน้อยๆกลับมีน้ำหนักเพิ่มกลับขึ้นมาอีก 18 ปอนด์ ในขณะที่กลุ่มที่ทานข้าวเช้าให้เต็มอิ่มกลับน้ำหนักลดลงเรื่อยๆอีก 16.5 ปอนด์


สรุปคือ กลุ่มที่ทานข้าวเช้าน้อยๆ และหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งเป็นกลุ่มที่โยโย่ แต่กลุ่มที่ทานข้าวเช้าให้เต็มที่และ เน้นที่จำกัดปริมาณแคลอรี่แต่ไม่จำกัดกลุ่มอาหาร กลับลดน้ำหนักได้เยอะกว่าและไม่มีการโยโย่เลยค่ะ ดังนั้น เราจึงอยากแนะนำทุกคนที่พยายามลดน้ำหนักมาครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ลองมาทานข้าวเช้าที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ และควรทานให้อิ่ม เพื่อที่จะไม่หิวโซจนทานมากกว่าที่ควรระหว่างวันนะคะ



วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ระวัง! แคลอรี่แฝงในน้ำดื่ม



เป็นที่ทราบกันดีว่ากฎข้อหนึ่งของการควบคุมน้ำหนักคือการควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่เข้าสู่ร่างกาย เพราะเจ้าพลังงานส่วนเกินนี้เองที่จะถูกแปรสภาพเป็นไขมันสะสมไว้เป็นส่วนเกินตามจุดต่างๆของร่างกาย สาวๆและหนุ่มๆนักไดเอ็ทจึงท่องจำกฎข้อนี้จนขึ้นใจและระมัดระวังในการเลือกรับประทานอาหารชนิดที่หายใจเข้าออกเป็นตารางแคลอรี่ แต่บ่อยครั้งที่พบว่าแม้คุณจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยผักต้ม เนื้อไก่ลอกหนัง และข้าวกล้อง เจ้าน้ำหนักส่วนเกินก็ยังคงไม่ลดลงง่ายๆ แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะคุณประมาทแคลอรี่ที่แอบแฝงอยู่ในเครื่องดื่มแก้วโปรดแสนชื่นใจก็ได้ ลองสำรวจดูสิว่าคุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่กินข้าวตามวิธีนักไดเอ็ท แต่จิบกาแฟหอมกรุ่นหวานมันพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ในยามเช้า ดื่มน้ำผลไม้ปั่นหวานชื่นใจแถมสรรพคุณว่าเพื่อสุขภาพในช่วงพัก และซดเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าระหว่างปาร์ตี้สุดสัปดาห์ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วคุณคงต้องหันมาระวังเรื่องเครื่องดื่มของคุณโดยด่วน ลองมาดูกันว่าในเครื่องดื่มแก้วโปรด 1 แก้วจะมีแคลอรี่ซ่อนอยู่เท่าไหร่

1. น้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีแคลอรี่ประมาณ 120-130 แคลอรี่ นอกจากนี้ยังมีกรดคาร์บอนิก สารกันบูด สารแต่งสี และ แต่งกลิ่น
2. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่แอลกอฮอล์ 1 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 7 แคลอรี่ มากกว่าคาร์โบไฮเดรตเสียอีก (คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่) และแอลกอฮอล์ยังเป็นตัวการขัดขวางการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ไม่ให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกด้วย
3. น้ำผลไม้ ถึงผลไม้จะมีประโยชน์และให้วิตามินสูง อีกทั้งยังถูกบรรจุอยู่ในเมนูลดน้ำหนัก แต่น้ำผลไม้หลายชนิดเช่นน้ำองุ่น น้ำส้ม หรือน้ำสับปะรดก็ให้น้ำตาลสูงและยังไม่มีไฟเบอร์เหมือนรับประทานผลไม้ทั้งผล ยิ่งถ้าคุณเป็นคนติดรสหวานและเติมน้ำเชื่อมเข้าไปด้วยแล้ว แคลอรี่ที่ได้จะยิ่งเพิ่มขึ้น
4. กาแฟ 1 แก้ว เติมน้ำตาล 2 ช้อนชา และ ครีม 2 ช้อนชาให้แคลอรี่ 65 แคลอรี่ แต่ถ้าเป็นกาแฟเย็นคาปูชิโน่ หรือ กาแฟปั่นแฟรบปูชิโน่หวานมันจะได้แคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
5. ชาเย็น นมเย็น โอวัลตินเย็น และ ช็อกโกแลตเย็น 1 แก้วให้พลังงาน 220 – 400 แคลอรี่ อันเนื่องมาจากนมข้นหวานและน้ำตาลซึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก
6. นมสด 1 แก้ว (240 ml) ให้พลังงาน 125 แคลอรี่

เป็นยังไงล่ะคะกับข้อมูลแคลอรี่ที่มาพร้อมกับเครื่องดื่มถ้วยโปรด ความจริงแล้ว เครื่องดื่มที่วิเศษที่สุดสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็คือน้ำเปล่านั่นเองค่ะ เพราะนอกจากยังไม่มีแคลอรี่แล้ว น้ำยังช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย และ ทำให้การเผาผลาญไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักจึงควรเลือกน้ำเปล่าเป็นตัวเลือกแรกโดยหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน และ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ส่วนเครื่องดื่มที่มีประโยชน์อย่างอื่นๆ เช่นนม หรือ น้ำผลไม้ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และทางที่ดีไม่ควรเติมน้ำตาลลงไปอีกนะคะ ลดความหวานลงสักนิด จะได้รูปร่างดีไปอีกนานๆไงคะ

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ป้องกันหวัดด้วยวิธีธรรมชาติ

สวัสดียามเย็นค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเหลือเกิน หลายคนอาจจะต้องตากฝนสลับกับตากแดดจนภูมิคุ้มกันต่ำลง ซึ่งทำให้ร่างกายถูกเชื้อไวรัสโจมตีได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ช่วงนี้จึงเป็นเวลาสำคัญที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องล้มป่วยนะคะ

วิธีง่ายๆที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันก็คือ
- การนอนหลับให้เพียงพอ 
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล หรือ การสูบบุหรี่ 
- ทานให้ครบห้าหมู่ โดยต้องไม่ลืมทานผัก ผลไม้ที่อุดมไปด้วนวิตามิน ซี ให้เยอะๆ 
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 

นอกจากนั้น เรายังอยากแนะนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการต้านไวรัสที่มีชื่อว่า อัลเดอร์เบอรี่ (elderberry) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัด (influenza virus) เกาะติดกับเซลล์ของร่างกาย และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า แอนโธไซยานิน (anthocyanins) ในอัลเดอร์เบอรี่ ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เทียบเคียงกับยาแก้ปวด ที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย และไข้สูงที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเป็นไข้หวัดค่ะ

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ดื่มชาเขียวทั้งที ต้องใส่มะนาว!



สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีเคล็ดไม่ลับที่จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าจากการดื่มชาเขียวได้มากขึ้นถึง 5 เท่าเชียวค่ะ แถมวิธีก็ง่ายแสนง่าย เพียงคุณเติมน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม2-3 ช้อนโต๊ะลงไปในชาเขียวของคุณที่ได้แช่ไว้ในน้ำร้อนซัก 3-5 นาที ก็จะสามารถทำให้สารคาเทคิน (catechins) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและ โรคหัวใจในชาเขียวมีความเสถียรมากขึ้น ดังนั้น ปริมาณของคาเทคินที่ร่างกายจะดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดก็จะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าค่ะ


สาเหตุที่ต้องเติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มนั้น เป็นเพราะว่าสารคาเทคินมักจะสลายตัวในสภาวะที่ไม่เป็นกรด (non-acidic environment) ดังนั้น ร่างกายเราก็จะดูดซึมได้เพียง 20 % ของสารคาเทคินที่ได้รับจากการดื่มชาเขียวเปล่าๆค่ะ


ทั้งง่ายและดีขนาดนี้แล้ว ไม่ลองเห็นจะไม่ได้แล้วนะคะ

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฝรั่งสำหรับผิวสวย



สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ GNC Health Advisor มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการมีผิวสวยจากภายในมาฝากค่ะ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและ ผู้ชายนะคะ


ใครๆก็คงเคยได้ยินว่า ถ้าอยากมีผิวสวยก็ควรทานผัก ผลไม้ให้เยอะเข้าไว้ ทำไมเหรอคะ? หนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือผักและผลไม้มักอุดมไปด้วย วิตามิน ซี (vitamin C) ซึ่งมีการวิจัยมาแล้วในผู้หญิงกว่า 4,000 คนว่า ผู้หญิงอายุระหว่าง 40 - 74 ปี ที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน ซี มักจะมีริ้วรอยน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยได้ทานอาหารเหล่านั้น


วันนี้ เราจึงอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านหันมาทานอาหารที่มีปริมาณวิตามิน ซีสูงเช่น ฝรั่ง คุณผู้อ่านทราบมั้ยคะ ว่าฝรั่ง 1 ถ้วยตวงมีปริมาณวิตามิน ซีมากกว่าส้มถึง เกือบ 5 เท่า (377 mg เทียบกับ 83 mg) ซึ่งวิตามิน ซีจะช่วยให้ผิวคุณเสริมสร้างคอลลาเจนให้แลดูอ่อนวัยยิ่งขึ้น


นอกจากจะได้วิตามิน ซีเยอะแล้ว ฝรั่งยังมีสารต้านเชื้อโรคที่มักจะพบในอาหาร แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงเกือบจะเท่าบรอคโคลี่และ บลูเบอรรี่ทีเดียวค่ะ


รู้อย่างนี้แล้ว คราวหน้าที่คุณไปเลือกซื้อผลไม้เข้าบ้าน อย่าลืมหยิบฝรั่ง 3-4 ลูกใส่ตะกร้าด้วยนะคะ



วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Health Tip of the Day: การนวด




หลายๆท่านคงชอบไปสปาเพื่อไปนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อนะคะ การนวดเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเพราะนอกจากจะทำให้อารมณ์ดี ช่วยคลายความเครียดแล้ว ยังสามารถช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสู่กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การซ่อมแซมกล้ามเนื้อเร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ




อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านที่มีอาการดังต่อไปนี้ควรจะปรึกษาคุณหมอก่อนที่จะไปนวดนะคะ:


- ความดันสูง -- การนวดจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ดังนั้นในผู้ป่วยที่มีความดันสูงอยู่แล้ว อาจจะไม่ควรนวด


- มะเร็ง -- การนวดบางประเภทที่กระตุ้นต่อมน้ำเหลือง (lymphatic massage, lymphatic drainage massage) อาจจะมีผลเสียต่อผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง เพราะระบบไหลเวียนของน้ำเหลืองเป็นเส้นทางหลักของการแพร่ตัวของเซลล์มะเร็ง




วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551

โรคเริมคืออะไร?


ตามที่ท่านผู้อ่านได้ขอมานะคะ ใน blog วันนี้ เราจึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับโรคเริมมาเล่าสู่กันฟังค่ะ


โรคเริมเกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex virus และจะออกอาการเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบ เช่นที่ริมฝีปาก (cold sores) หรือที่อวัยวะเพศ ในบางคนตุ่มน้ำเล็กๆ จะแดงและก่อให้เกิดอาการคันหรือ ปวดแสบ


เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ
1. Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไป โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่จะติดต่อได้จากการแชร์ภาชนะจานชาม แก้วน้ำ หรือมีดโกน ร่วมกับคนที่เป็นโรคเริม หรือการโดนน้ำลายของผู้ที่เป็นโรคเริมอยู่ด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการจุมพิตเป็นต้น


2. Herpes simplex virus 2 (HSV-2) มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์ มากกว่านั้นหากผู้หญิงเป็นโรคนี้และใช้วิธีคลอดธรรมชาติ ลูกก็จะติดโรคนี้และอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้



การเป็นเริมครั้งแรก จะมีอาการปวดแสบร้อนต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดง ตุ่มน้ำจะแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังมากที่สุดเพราะสามารถติดต่อได้ง่าย


หลังจากนั้น เชื้อจะอยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร (dormant stage) โดยจะฝังอยู่ที่ปมประสาท ช่วงที่ไม่มีตุ่มใดๆให้เห็นนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสติดต่อน้อย แต่น้ำลายหรือผิวบริเวนที่เคยป็นตุ่มก็ยังอาจจะมีเชื้อไวรัสคงเหลืออยู่ โดยเฉพาะช่วงที่แผลเพิ่งหาย

ผู้ที่มีเชื้อไวรัสนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และมีโอกาสที่จะเป็นซ้ำอีก อาการอาจจะน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่า มากกว่านั้น มักจะเป็นในบริเวณใกล้กับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี

ปัจจัยกระตุ้นในการกลับเป็นซ้ำ:

- ความเครียด นอนไม่พอ

- เป็นหวัด เป็นไข้

- ช่วงมีประจำเดือน

- โดนแสงแดดมากเกินไป ดังนั้นจึงควรทา lip balm ที่มี sun screen และทา sun screen ให้ทั่วบนใบหน้า


วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คุณสนใจเรื่องอะไรเกี่ยวกับสุขภาพบ้างคะ

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน

ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณที่ท่านได้ติดตามอ่าน daily health update ของ GNC นะคะ และขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้โทร หรือ email มาหาเราเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสุขภาพ อาทิ เรื่อง อาหารเสริมสำหรับคนที่เป็นสิว และ ข้อควรระวังเมื่อทานยาปฏิชีวนะ

ดิฉันและ ทีมเภสัชกร จึงขอถือโอกาสนี้สอบถามท่านผู้อ่านว่า สนใจเรื่องใดบ้าง เพื่อที่เราจะได้ไปเสาะหาข้อมูลมาให้ตรงกับความต้องการของคุณค่ะ

คุณสามารถ post comment ใน blog นี้ หรือ email มาที่ livewell@gnc.co.th นะคะ เราพร้อมที่จะให้บริการทุกเวลาค่ะ

ทีมเภสัชกร GNC Health Advisor

การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ



คุณผู้อ่านหลายๆท่าน โดยเฉพาะคุณผู้หญิง คงเคยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาแล้วนะคะ อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือ ความรู้สึกปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ปัสสาวะสีขุ่นมัว ความรู้สึกปวดช่องท้องช่วงล่าง หรือ แม้กระทั่งไข้ขึ้น

หากคุณต้องการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้กับตัวคุณบ่อยๆ เรามีเคล็ดไม่ลับมาบอกค่ะ

- ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ แต่ถ้าจำเป็นต้องกลั้นจริงๆ ก็ไม่ควรจะกลั้นนานเกินไป
- ควรจะปัสสาวะทั้งก่อนและ หลังการมีเพศสัมพันธ์
- คุณผู้หญิงควรจะเช็ดจากข้างหน้าไปข้างหลัง หลังจากการปัสสาวะ
- ควรล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกๆครั้งที่อาบน้ำ ด้วยสบู่เหลวชนิด feminine cleanser โดยเฉพาะ
- ควรใส่กางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้ายธรรมชาติ
- ควรดื่มน้ำเยอะๆ โดยเฉพาะน้ำแครนเบอรรี่ ที่สามารถช่วยในการต้านเชื้อแบกทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เป็นสิว...ทำยังไงดี?

บางท่านอาจจะคิดว่าการทายาแก้สิวอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่อย่าลืมนะคะว่าสิงเกิดขึ้นจากภายใน ดังนั้นการทายาแก้สิวจึงเป็นการแก้ปํญหาที่ปลายเหตุค่ะ

จะแก้ที่ต้นเหตุก็มีปัจจัยหลายอย่างค่ะ เริ่มตั้งแต่การนอนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ นอกจากนั้น คุณยังควรที่จะลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล ลดอาหารทอดๆ มันๆ หวานๆ เนื้อแดง เนยและ ครีม เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายของเรา (inflammation)

การรับประทานอาหารมากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) มากขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสิวนะคะ ดังนั้น คุณควรทานให้อิ่มพอดีๆค่ะ

สุดท้ายนี้ อาหารที่เผ็ด หรือรสจัดๆ เช่น พริก กระเทียม ก็มีส่วนทำให้สิวขึ้นเหมือนกันนะคะ

ส่วนอาหารเสริมที่ช่วยได้ ก็จะมี
- วิตามิน เอ ที่จะช่วยซ่อมแซมผิว
- สังกะสีที่ช่วยลดการอักเสบและ ต้านการติดเชื้อ แถมยังช่วยซ่อมแซมผิวและ กันการเกิดแผลเป็น
- โอเมกา 3 ที่ต้านแบกทีเรียและ ลดการอักเสบค่ะ

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

6 ข้อควรรู้ก่อนจะทานยาปฏิชีวนะ

1. ยาปฏิชีวนะมักจะเห็นผลค่อนข้างเร็วและ คุณอาจจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากทานยาแค่ไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม การที่คุณรู้สึกดีขึ้นไม่ได้หมายความว่าคุณหยุดทานยาได้นะคะ คุณควรทานยาให้หมดคอร์สตามที่คุณหมอแนะนำ มิฉะนั้นเชื้อโรคอาจจะถูกกำจัดออกไปไม่หมดและ คุณอาจจะป่วยอีกก็ได้ค่ะ

2. คุณหมอของคุณจะเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอาการของคุณและ ประวัติของคุณ ดังนั้น คุณจึงไม่ควรทานยาปฏิชีวนะของคนอื่น หรือเก็บยาที่คุณหมอเคยจ่ายให้ครั้งก่อนไว้ทานครั้งหน้า เพราะอาการของแต่ละคนในการป่วยแต่ละครั้งไม่เหมือนกันและ การทานยาปฏิชีวนะโดยไม่ปรึกษาคุณหมอก่อน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้นะคะ

3. คุณควรจะถามคุณหมอว่ายาปฏิชีวนะที่คุณหมอจ่ายให้จะเริ่มมีผลภายในกี่วัน และหากคุณยังไม่รู้สึกดีขึ้น คุณควรจะทำอย่างไรต่อไป

4. ยาปฏิชีวนะอาจมีผลข้างเคียงเช่น อาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หรือแพ้จนเป็นผื่นคันตามตัว นอกจากนั้น ยาปฏิชีวนะอาจจะกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายและ ก่อให้เกิดโรคเชื้อราในช่องคลอดระหว่างทานยาปฏิชีวนะ ดังนั้น คุณควรถามคุณหมอว่ายาที่คุณหมอจ่ายให้มีผลข้างเคียงอะไรบ้างและ หากอาการของผลข้างเคียงรุนแรง หรือ ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ คุณควรปรึกษาคุณหมอว่ามียาตัวอื่นที่สามารถใช้แทนกันได้หรือไม่นะคะ

5. คุณควรถามคุณหมอว่าคุณควรทานยาปฏิชีวนะพร้อมอาหารหรือไม่และ เช็คว่าคุณต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างไรบ้างระหว่างทานยาปฏิชีวนะ เช่น คุณต้องหลบแดดหรือไม่? ต้องเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลรึเปล่า? หรือต้องหลีกเลี่ยงการทานอาหารประภทใด ประเภทหนึ่งมั้ย?

6. คุณควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าต้องทานยาปฏิชีวนะอย่างไร เช่น "ทานยาวันละ 4 ครั้ง" หมายความว่าทุกๆ 6 ชั่งโมงรึเปล่า? หรือ พร้อมอาหาร 3 มื้อและ ก่อนนอน?

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สารก่อมะเร็งในอาหาร - Acrylamide



เจออีกแล้วค่ะ สารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า acrylamide (อาคริลาไมด์) ที่มีการวิจัยว่าสามารถก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองหากรับประทานในปริมานมาก


อาคริลาไมด์เป็นสารที่เกิดขึ้นเมื่ออาหารที่มีส่วนประกอบเป็นคาร์โบไฮเดรต หรือ แป้งในปริมาณสูงถูกนำไปทอด คั่ว หรือ อบด้วยอุณหภูมิที่สูง ทาง FDA ของสหรัฐอเมริกาได้ทำการวิเคราะห์อาหารหลากหลายประเภทเพื่อค้นหาปริมาณของสารอาคริลาไมด์และ ผลที่ออกมาก็คือ:


- อาคริลาไมด์สามารถสร้างขึ้นได้จากน้ำตาลและ กรดอะมิโนที่มีอยู่ในอาหารโดยธรรมชาติ เมื่ออาหารเช่นมันฝรั่ง ข้าว ธัญพืช หรือ แม้กระทั่งเมล็ดกาแฟผ่านกระบวนการทอด คั่ว หรือ อบ ก็จะทำให้สารอาคริลาไมด์ถูกสร้างขึ้นมา และการวิจัยได้พบว่า อาหารที่ทอด คั่ว หรือ อบยิ่งนาน สารอาคริลาไมด์ก็จะถูกสร้างยิ่งมากด้วยค่ะ


- แต่การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงแบบดิบๆ ก็จะป้องกันให้เราไม่ได้รับสารอาคริลาไมด์เข้าไป หากทานแบบดิบไม่ได้ การต้ม หรือ นึ่งอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ก็จะไม่ก่อให้เกิดการสร้างสารอาคริลาไมด์เช่นกัน นอกจากนั้น เนื้อสัตว์ นม ไข่และ อาหารทะเลก็ไม่มีสารอาคริลาไมด์ค่ะ


- อาหารที่พบเจอสารอาคริลาไมด์ในปริมาณที่สูงก็จะเป็นพวก เฟรนช์ ฟรายส์ มันฝรั่งอบ มันฝรั่งทอด กาแฟ ขนมปังปิ้ง ซีเรียลและ คุกกี้


- ทางนักวิทยาศาสตร์ของ FDA ได้แนะนำว่าหากคุณอยากทานมันฝรั่งก็ควรจะต้มหรือ ไมโครเวฟ แทนที่จะทอด หรือ อบ มากกว่านั้น การหั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นบางๆและ นำไปแช่ในน้ำ 30 นาทีก่อนที่จะนำมาปรุงเป็นอาหาร สามารถลดปริมาณของสารอาคริลาไมด์ได้ด้วย และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือการนำมันฝรั่งแช่ในตู้เย็นก่อนนำมาปรุงเป็นอาหาร กลับทำให้ก่อสารอาคริลาไมด์มากขึ้น ดังนั้นคุณควรเก็บมันฝรั่งไว้ในที่แห้งๆและ ไม่สว่างมากในครัวแทนนะคะ


- หากคุณเป็นคนที่ชอบทานขนมปังปิ้ง ก็ควรจะปิ้งไห้สีออกเหลืองนวลๆนิดเดียวก็พอ และพยายามอย่าทานส่วนที่เกรียมๆค่ะ


- ส่วนกาแฟเนี่ย เป็นอะไรที่นักวิทยาศาสตร์เองก็แก้กันไม่ตก เพราะเมล็ดกาแฟต้องผ่านการคั่วมาทั้งนั้น ดังนั้น คอกาแฟอาจจะต้องลองตัดใจดื่มกาแฟให้น้อยลง หรือเปลี่ยนมาดื่มชาแทนนะคะ
Reference: Limit Acrylamide in Diet, Mayo Clinic

ข้อเท็จจริงของการลดน้ำหนัก


ก่อนอื่น ทาง GNC Health Advisor ต้องขออภัยที่ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปนานหน่อยนะคะ เนื่องจากว่าต้องไปสัมนาอัพเดทเทรนด์สุขภาพ เลยยังไม่ได้มีโอกาสมาอัพเดทเวบค่ะ


ล่าสุดที่ได้ไปงานคอนเวนชั่นที่ทาง GNC อเมริกาจัดให้ ดิฉันและ ทีมงานก็ได้พบกับบริษัทผู้ผลิตอาหารเสริมหน้าใหม่ๆอยู่หลายเจ้า แต่เท่าที่สังเกตุดูแล้ว ยังไม่มีเทรนด์หรือ นวัตกรรมใหม่ในผลิตภันฑ์อาหารเสริมสำหรับการลดน้ำหนัก ส่วนประกอบสำคัญในหลายๆยี่ห้อที่ดังๆในอเมริกาก็ยังเป็นสาร thermogenics หรือ สารที่เพิ่มอุณหภูมิในร่างกายเพื่อกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญ เช่น คาเฟอีน และ กวารานา เป็นต้น ซึ่งสารประเภทนี้เป็นสารที่ทางอ.ย.ของประเทศไทยไม่อนุญาติให้มีอยู่ในอาหารเสริมสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะมีผลข้างเคียงเช่นอาการหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือ วิงเวียนศรีษะ คลื่นไส้


หากท่านผู้อ่านเคยลองสังเกตุดูด้วยตัวเอง อาจจะพบว่าเทรนด์ผลิตภันฑ์อาหารเสริมสำหรับลดน้ำหนักเป็นอะไรที่มาเร็วและ ไปเร็ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย ที่มักจะตามหา miracle pill ที่ทานแล้วสามารถเห็นผลอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องปรับวิถีชีวิตให้ออกกำลังกายมากขึ้น รับประทานอาหารให้น้อยลง และเลือกรับประทานเฉพาะอาหารที่ไม่มัน ไม่หวานจนเกินไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอาหารเสริมตัวใดที่จะสามารถมีประสิทธิผลเช่นนี้ (ยาลดความอ้วนที่มีผลกับประสาท อาจจะทำได้ แต่ท่านผู้อ่านคงจะคุ้นเคยกับความเสี่ยงต่อสุขภาพและ โยโย่ เอฟเฟกท์ ที่มากับยาลดความอ้วนประเภทนี้อยู่แล้วนะคะ)


การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดและปลอดภัยที่สุด เป็นการยึดหลักที่เรียกได้ว่า back to basics ซึ่งก็คือ การทานให้น้อยลงและ เผาผลาญให้มากขึ้น โดยอาหารเสริมสามารถช่วยได้เพียงแค่


- ให้คุณอิ่มเร็วขึ้น (กลุ่มไฟเบอร์ เช่น แอปเปิ้ล เพคติน, ไซเลี่ยม ซีด ฮัสค์, รำข้าวโอ๊ต)


- ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญน้ำตาลและ ไขมัน (สาหร่ายเคลป์, แอล-คาร์นิทีน, โครเมียม พิโคลิเนท)


อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมคือตัวเสริมส่วนหนึ่งเท่านั้น หากคุณทานอาหารเสริมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังติดทานขนม ของหวาน ของทอด ของมัน ก็จะไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ของคุณได้หรอกนะคะ จริงๆแล้วการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการลดน้ำหนักเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงคุณจะออกกำลังกาย 30 นาที ที่ฟิตเนส คุณก็อาจจะเผาผลาญไปเพียง 300 แคลอรี่ ซึ่งหากคุณไปทานผัดไท 1 จานที่มีถึง 400 กว่าแคลอรี่หลังออกกำลังกาย ก็จะเปรียบเสมือนว่าคุณไม่ได้ลดจำนวนแคลอรี่ต่อวันเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ


หากท่านผู้อ่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเคล็ดลับในการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ที่รวมไปด้วยการเตรียมพร้อมจิตใจ การเลือกอาหาร ฯลฯ ดิฉันขอแนะนำให้ลองเข้าไปดู GNC Diet Resource ที่ www.gnc.co.th/diet ค่ะ


นอกจากนั้น ทาง GNC Health Advisor มีความยินดีที่จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ที่ GNC Health Line 02-640-1200 หรือที่ livewell@gnc.co.th นะคะ












วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

วิตามิน B-12 กับโรคซึมเศร้า



วิตามิน B-12 และ วิตามิน B อื่นๆเช่น โฟเลต ต่างมีความสำคัญในกระบวนการสร้าง neurotransmitters ที่ช่วยร่างกายของเราควบคุมอารมณ์


แพทย์ทั่วไปทราบมานานแล้วว่าการขาดวิตามิน B-12 มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้า การวิจัยในอาสาสมัคร 3,884 คน ที่ได้ตีพิมพ์ใน American Journal of Psychiatry ในปี 2002 ชี้ว่า คนที่ขาดวิตามิน B 12 มีโอกาสที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนที่มีปริมานของวิตามิน B 12 ในร่างกายอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสถาบันวิจัยใดๆที่สามารถชี้ชัดได้ว่า การขาดวิตามิน B-12 เป็นสาเหตุ หรือ เป็นผลข้างเคียงของโรคซึมเศร้า เนื่องจากว่า การขาดวิตามิน B-12 อาจเกิดขึ้นเพราะผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าและ เบื่ออาหารจนรับสารอาหารได้ไม่เพียงพอก็ได้


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมีอาการของโรคซึมเศร้าอยู่ คุณควรรีบไปพบจิตแพทย์เพื่อรักษาและ อย่าลืมพูดคุยกับจิตแพทย์เกี่ยวกับอุปนิสัยการรับประทานอาหารของคุณ เพื่อให้จิตแพทย์ได้มีข้อมูลอย่างครบถ้วนในการวินิจฉัยสาเหตุของโรคซึมเศร้าของคุณ บางครั้ง การปรับอุปนิสัยการรับประทานอาหารในครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน อาจจะช่วยให้อาการของคุณดีขึ้นได้ โดยที่ยังไม่ต้องรับประทานยาแก้โรคซึมเศร้า (antidepressants) อย่างไรก็ตาม การรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของจิตแพทย์นะคะ


Reference: Mayo Clinic

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สปาหูดีสำหรับคุณจริงหรือ?

สปาหู (Ear Candling) คือ การใช้เทียนเสียบเข้าไปในรูหูแล้วจุดไฟเพื่อให้เกิดสูญญากาสและ สูบขี้หูออกมา สปาหูเป็นเทรนด์สุขภาพที่หลายๆสปาในประเทศไทยเริ่มโปรโมทในช่วงนี้ บ้างก็ชูว่าการทำสปาหูสามารถลดไมเกรน แก้ไขความไม่สมดุลของน้ำในหู ฯลฯ แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปทดลองทรีตเมนท์อันใหม่นี้ เรามีความคิดเห็นของ พ.ญ. Jennifer Mullen จาก Massachusetts Eye and Ear Infirmary ที่ Boston มาให้อ่านค่ะ

พ.ญ. Mullen ได้กล่าวว่า ขี้หูเป็นสิ่งที่ช่วยกันน้ำให้รูหู และยังสามารถช่วยป้องกัยการติดเชื้อในหูด้วยเพราะขี้หูมีความเป็นกรด คนทั่วไปจึงไม่มีความจำเป็นต้องกำจัดขี้หูออกไป อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่มีขี้หูในปริมานที่มากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้คนเหล่านั้นมีอาการคันในหู หรือ การได้ยินไม่ค่อยชัด

แต่การทำสปาหูก็ไม่ใช่คำตอบสำหรับคนที่มีปริมานขี้หูเยอะกว่าปกติ เพราะการทำสปาหูอาจทำให้คุณหูหนวกได้ด้วยซ้ำ พ.ญ. Mullen ชี้ว่า เธอได้รักษาผู้ป่วยหลายรายที่มีปัญหาหลังจากการทำสปาหู เช่น รูหู หรือ แก้วหูไหม้

วิธีที่ปลอดภัยกว่าคือการไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านตา หู คอ จมูก ซึ่งแพทย์อาจจะจ่ายยาหยอดสำหรับหู หรือใช้เครื่องมือแพทย์ที่ปลอดภัยกำจัดขี้หูที่มากเกินไป

สุดท้ายนี้ พ.ญ. Mullen ได้เตือนว่า ไม่ควรนำคอตตอน บัด หรือ ก้านสำลีเสียบเข้าไปในรูหูเพื่อแคะขี้หู เพราะอาจทำให้แก้วหูแตกได้ค่ะ

Reference: Web MD

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม



จากการวิจัยของ National Breast Cancer Coalition ที่อเมริกา ผู้หญิง 3 ใน 4 คนคิดว่าตัวเองมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมค่อนข้างมาก แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้หญิงหลายคนยังมีความรู้ที่ผิดๆเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม GNC จึงนำข้อมูลมาชี้แจงให้คุณผู้หญิง ณ ที่นี้ค่ะ


1. 56% ของผู้หญิงเชื่อว่า การมีสมาชิกในครอบครัวที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม หมายความว่าตัวเองจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม


แต่ในความป็นจริงแล้ว น้อยกว่า 10% ของคนที่เป็นมะเร็งเต้านมมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ อายุของคุณต่างหากค่ะ ที่เป็นความเสี่ยงที่สูงที่สุดต่อการเป็นมะเร็งเต้านม


2. 38% ของผู้หญิงเชื่อว่า การตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นวิธีพตรวจพบบมะเร็งเต้านมที่ดีที่สุด


แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตรวจด้วยเครื่อง mammogram ที่โรงพยาบาล เป็นวิธีเดียวที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรกได้จริงค่ะ


3. 70% ของผู้หญิงเชื่อว่าการรับประทานผัก ผลไม้และ ธัญพืชเป็นประจำ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม


ทว่าแท้ที่จริงแล้ว การวิจัยกว่า 8 ปี ในผู้หญิง 48,000 รายพบว่าการรับประทานผัก ผลไม้และธัญพืชเป็นประจำไม่มีผลในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งประเภทอื่น


สิ่งที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมได้จริง คือ การออกกำลังกายเป็นประจำและ การมีน้ำหนักตัวที่พอดีค่ะ


Reference: Prevention Magazine, March 2008

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ทานยาลดกรดในกระเพาะบ่อยๆอันตรายหรือไม่?



นายแพทย์ Jay W. Marks จาก MedicineNet ได้ชี้แจงว่า การทานยาลดกรดในกระเพาะมักจะมีผลข้างเคียงเช่น ท้องผูก (จากยาลดกรดชนิดที่มีอลูมินัม) หรือ ท้องร่วง (จากยาลดกรดที่มีแมกนีเซียม)

การรับประทานยาลดกรดชนิดที่มีแคลเซียม คาร์โบเนต มากเกินไป อาจก่อให้เกิดความไม่สมดุลย์ของระดับแคลเซียมและ กรดในร่างกาย ซึ่งจะทำให้มีผลเสียต่อไต นอกจากนั้น ยาลดกรดชนิดที่มีแคลเซียมอาจทำให้ร่างกายหลั่งกรดออกมามากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีผลในการลดกรดในช่วงแรกหลังการรับประทานยา

ในผู้ป่วยที่มีโรคไต สารอลูมินัมจากยาลดกรดที่มีอลูมินัมอาจสะสมในร่างกายด้วย ซึ่งอาจจะเป็นพิษต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม การรับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหารในบางครั้ง บางคราว หรือแม้กระทั่งการรับประทานทุกวัน ยังถือว่าเป็นระดับที่ปลอดภัยอยู่ค่ะ


วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551

ออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้ว แต่น้ำหนักยังขึ้นไม่หยุด?

บางคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขภาพดี ทั้งออกกำลังกายเป็นประจำและ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ อาจจะงงและ หงุดหงิดว่าทำไมน้ำหนักถึงยังได้ขึ้นเอาเรื่อยๆ เราขอนำเสนอ 5 สาเหตุที่คุณอาจคาดไม่ถึงดังต่อไปนี้ค่ะ:

1. นอนไม่พอ
เวลาที่คนเรานอนไม่พอ ร่างกายจะกักเก็บไขมันได้ดีขึ้น นอกจากนั้น คนที่นอนไม่พอมักจะเครียดง่ายขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้หาอาหารหรือ ขนมมาบรรเทาความเครียด คุณควรจะพยายามนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่งโมง นอกจากนั้น การนอนตรงเวลาทุกวันและ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น

2. ความเครียด
ความเครียดก่อให้เกิดกระบวนการทางเคมีที่ทำให้ร่างกายเราเข้าสู่ภาวะของการประทังชีวิต (survival mode) ซึ่งทำให้ร่างกายกักเก็บไขมันเพิ่มขึ้น เผาผลาญช้าลง และหลั่งสารเคมีต่างๆเช่น คอร์ติซอล เลปติน ฯลฯ ที่มีส่วนทำให้ไขมันถูกกักเก็บอยู่ตรงหน้าท้องโดยเฉพาะ มากกว่านั้น คนที่อยู่ในภาวะความเครียดมักจะชอบอาหารที่มีแป้งและ น้ำตาลเยอะ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ทำให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (serotonin) ออกมามากขึ้น โดยสารนี้เป็นสารที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือการรับประทานแคลอรี่มากขึ้นโดยที่อาจจะไม่รู้ตัว ดังนั้น เราขอแนะนำว่า คุณควรหาวิธีแก้เครียดที่ไม่ใช้อาหาร เช่น การออกกำลังกาย เล่นโยคะ นวดอโรมา ฟังเพลง เต้นลีลาศ หรือ นั่งสมาธิค่ะ

3. การรับประทานยา
ยาบางชนิดที่คุณหมอจ่ายให้คุณเพื่อรักษาโรค อาจเป็นต้นเหตุของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า, อารมณ์แปรปรวน, ไมเกรน, ความดันสูงและเบาหวาน ในบางคนน้ำหนักอาจจะขึ้นเพียงไม่กี่กิโล แต่บางคนอาจจะขึ้นได้ถึงเดือนละ 5 กิโล หากคุณน้ำหนักขึ้นมาเดือนละมากกว่า 2 กิโล และได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่าง การรับประทานยาอาจจะเป็นสาเหตุที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้

ยาแต่ละตัวมีผลในการทำให้น้ำหนักขึ้นไม่เหมือนกัน ยาอาจทำให้คุณอยากอาหารมากขึ้น ปรับกระบวนการกักเก็บไขมันในร่างกาย ทำให้ร่างกายบวมน้ำหรือ ปรับระดับของอินซูลินในเลือด แต่ในกลุ่มของยาแก้โรคซึมเศร้า น้ำหนักตัวของผู้ป่วยอาจจะไม่ได้ขึ้นเพราะการรับประทานยา แต่อาจจะเป็นเพราะทานยาแล้วอารมณ์ดีขึ้น เลยทานได้มากขึ้นกว่าเดิม
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ากลุ่มยาหลักๆที่อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นคือ:
- สเตียรอยด์
- ยาแก้โรคซึมเศร้า
- ยาแก้โรคเบาหวาน
- ยาลดความดัน -
ยาแก้โรคกรดไหลย้อน
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการที่ทานยาแล้วหายจากโรค อาจจะคุ้มกับการที่น้ำหนักตัวขึ้นนิดๆหน่อยๆนะคะ นอกจากนั้น การรับประทานยาอาจจะเป็นหนึ่งในหลายๆสาเหตุของการเพิ่มน้ำหนัก ดังนั้น เราแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะด่วนสรุปและ ตัดสินใจหยุกยาค่ะ

4. ความผิดปกติของต่อมไธรอยด์ (hypothyroidism)
การขาดฮอร์โมนไธรอยด์ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ช้าลง ดังนั้นน้ำหนักจึงเพิ่มขึ้น หากคุณรู้สึกอ่อนเพลียและ มีอาการตัวบวม เสียงแหบ หนาวง่าย นอนมากเกินปกติ หรือ ปวดหัวบ่อยๆ คุณควรจะพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าการทำงานของต่อมไธรอยด์มีปัญหาหรือไม่ อีกโรคหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นคือโรค Cushing's Syndrome ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป แต่โรคนี้เป็นโรคที่พบไม่บ่อยนัก

5. วัยทอง
เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น การเผาผลาญก็จะช้าลงตามธรรมชาติ และเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย อาจทำให้หิวง่ายขึ้น นอนไม่หลับหรือ เกิดอาการซึมเศร้า มากกว่านั้น การสูญเสียฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยทอง ทำให้การกักเก็บไขมันในร่างกาย เปลี่ยนจากช่วงล่าง (สะโพกและ ต้นขา) เป็นช่วงหน้าท้อง แพทย์แนะนำว่าผู้หญิงวัยทองควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกักเก็บไขมันที่มากเกินไปและ เพื่อเพิ่มมวลกระดูก ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วยค่ะ
References:
Michelle May, MD; author, Am I Hungry? What to Do When Diets Don't Work.
Susan Bowerman, MS, RD, assistant director, UCLA Center for Human Nutrition.
WebMD Feature: "Is Your Medicine Cabinet Making You Fat?"

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2551

น้ำก๊อกร้อนๆอาจมีอันตรายต่อสุขภาพ!


นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่า น้ำประปาที่ร้อนอาจมีสารตะกั่ว (lead) เจือปนอยู่ ถึงแม้ว่าน้ำประปาส่วนใหญ่จะไม่มีสารตะกั่วเจือปน แต่เมื่อผ่านก๊อกน้ำร้อนในบ้านคุณ ก็อาจจะมีสารตะกั่วจากท่อน้ำเจือปนมาด้วย เนื่องจากว่าน้ำร้อนละลายสารต่างๆได้ดีกว่าน้ำเย็นและ ท่อน้ำประปาในบางบ้านอาจจะเป็นท่อที่มีตะกั่ว โดยเฉพาะในบ้านที่สร้างมานานแล้ว Environmental Protection Agency(EPA) ของสหรัฐอเมริกาแจ้งว่า แม้กระทั่งท่อน้ำชนิดใหม่ที่โฆษณาว่าไร้สารตะกั่ว อาจยังมีสารตะกั่วอยู่มากถึง 8 %

สารตะกั่วมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก โดยอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมองและ ระบบประสาท โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ถึงแม้ว่าความเสี่ยงที่คุณจะดื่มน้ำที่มีสารตะกั่วในระดับที่อันตรายมีอยู่ไม่มาก แต่ EPA แนะนำว่าควรจะดื่มและ ใช้น้ำประปาที่เย็นเท่านั้น

มากกว่านั้น EPA ยังเตือนด้วยว่าการต้มน้ำไม่สามารถกำจัดสารตะกั่วออกจากน้ำได้ ในทางกลับกัน การต้มน้ำจะทำให้สารตะกั่วในน้ำมีความเข้มข้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

Reference: New York Times--The Claim: Never Drink Hot Water from the Tap


วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

โพรไบโอติก (probiotic) คืออะไร?


ในร่างกายของคนเรา มีเชื้อแบกทีเรียอยู่เป็นพันล้านตัว แต่อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ เพราะเชื้อแบกทีเรียบางตัว มีประโยชน์ต่อร่างกายเรา โดยมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและ ปกป้องร่างกายเราจากเชื้อแบกทีเรียที่ไม่ดีค่ะ ซึ่งเชื้อแบกทีเรียที่มีประโยชน์เหล่านี้ก็คือ โพรไบโอติก (Probiotic) นั่นเองค่ะ

ในอาหารเช่น โยเกิร์ต (เช่น Danone Activia) ซอสมิโสะและ นมถั่วเหลือง ก็จะมีโพรไบโอติกอยู่ ณ ปัจจุบัน มีการวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกอยู่ค่อนข้างเยอะและ มีการวิจัยบางส่วนที่แสดงผลว่า โพรไบโอติกอาจช่วยในการ:

- แก้ท้องเสีย โดยเฉพาะหลังการรักษาโรคด้วยการรับประทานยาฆ่าเชื้อ

- ป้องกันการเกิดโรคเชื้อราในช่องคลอดและ โรคท่อปัสสาวะอักเสบ

- ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

- ลดระยะเวลาการอักเสบของลำไส้

- ป้องกันการอักเสบหลังการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ (pouchitis)

อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการวิจัยมากกว่านี้เพื่อจะยืนยันว่าโพรไบโอติกมีผลดีต่อร่างกายจริงๆ ขณะนี้ อ.ย. ยังไม่อนุญาติให้นำเข้าผลิตภันฑ์เสริมอาหารที่เป็นโพรไบโอติก ดังนั้น หากคุณพบเจอผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ควรตรวจสอบให้ดีว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้นำเข้ามาโดยถูกต้องตามกฏหมาย และปลอดภัยต่อการบริโภคหรือไม่นะคะ
Reference: Mayo Clinic

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

จริงหรือไม่? เครียดมากๆแล้วผมจะร่วง?

จริงค่ะ จิตแพทย์จาก Mayo Clinic ชี้แจงว่าความเครียดอาจก่อให้เกิดอาการผมร่วง 2 ประเภท:

1. Telogen Effluvium เป็นอาการผมร่วงที่เกิดขึ้นจากความเครียดอย่างรุนแรง และทำให้เส้นผมที่กำลังอยู่ในช่วงการเติบโต (growing phase) หยุดการเติบโตอย่างกระทันหัน หลังจากนั้นอีก 2-3 เดือน เส้นผมเหล่านั้นก็จะร่วงหล่นลงมา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เส้นผมก็จะขึ้นมาตามปกติภายใน 6-9 เดือน

2. Alopecia Areata เป็นอาการผมร่วงที่รุนแรงกว่า โดยเม็ดเลือดขาวจะไปโจมตีรูขุมขน ซึ่งจะทําให้ทั้งเส้นผมและ เส้นขนบนร่างกายร่วงลงมาภายในไม่กี่อาทิตย์ ผมร่วงประเภทนี้มักจะเริ่มเป็นวงกลมเล็กๆก่อน แต่อาจจะค่อยๆขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เส้นผมอาจจะขึ้นมาเหมือนเดิมได้ แต่ในบางคนอาจจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญค่ะ

จริงหรือไม่? การดื่มน้ำหลังอาหารจะทำให้ย่อยไม่ดี?

ไม่จริงค่ะ นายแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารของ Mayo Clinic ได้ชี้แจงว่า การดื่มน้ำหลังอาหารจะไม่ทำให้น้ำย่อยเจือจางลงอย่างที่บางคนอาจจะคิด ที่จริงแล้ว การดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร หรือ หลังจากทานอาหารจะช่วยให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะน้ำจะช่วยให้อาหารแตกตัวได้ง่ายขึ้น และการดื่มน้ำอย่างเพียงพอยังสำคัญต่อการทำงานที่ดีของระบบทางเดินอาหารอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

การรับประทานไข่มากกว่า 6 ฟองต่ออาทิตย์ อาจเพิ่มโอกาสเสียชีวิตในผู้ชายที่เป็นเบาหวาน


Dr. Luc Djousse ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก Harvard Medical Schoolได้มีการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานไข่กับการเพิ่มโอกาสเสียชีวิต มีผู้ร่วมการวิจัยนี้ทั้งหมด 21,000 คน ซึ่งเป็นนายแพทย์ในสหรัฐอเมริกาที่มีอายุระหว่าง 40 - 86 ปี นายแพทย์ทุกคนได้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับจํานวนไข่ที่รับประทานทุกวัน, ประวัติโรคหัวใจและ โรคเบาหวาน, ระดับของคอเลสเตอรอล, ความถี่ในการสูบบุหรี่และ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล, และข้อมูลการรับประทานอาหารทั่วไป

การวิจัยนี้ได้พบว่า การรับประทานไข่น้อยกว่า 6 ฟองต่ออาทิตย์ จะไม่ทําให้มีโอกาสเสียชีวิตที่สูงขึ้น แต่ว่าการรับประทานไข่ 7 ฟองขึ้นไปต่ออาทิตย์ จะทําให้มีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น 23%

มากกว่านั้น การรับประทานไข่ 7 ฟองขึ้นไปต่ออาทิตย์ ทําให้นายแพทย์ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับนายแพทย์ที่เป็นเบาหวาน แต่รับประทานไข่เพียง 1 ฟองต่ออาทิตย์

แพทย์แนะนําผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจว่า ควรได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารเพียง 300 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไข่ 1 ฟองก็มีคอเลสเตอรอลถึง 200 มิลลิกรัมแล้ว นักวิจัยได้อธิบายว่า คนที่เป็นเบาหวานอาจจะแปลงคอเลสเตอรอลจากอาหารมาเป็นคอเลสเตอรอลในเลือดได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน ดังนั้น การรับประทานไข่มากเกินไปจึงเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยก็ได้กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถแนะนำอย่างเป็นทางการให้ผู้ที่เป็นเบาหวานรับประทานไข่น้อยลง เพราะนี่เป็นเพียงผลจากการวิจัยเพียง 1 ครั้งและ ยังคงต้องมีการวิจัยหาข้อมูลมาเสริมให้มากกว่านี้

Reference: The American Journal of Clinical Nutrition, April 2008

ขวดน้ำ และ ขวดนมของคุณมีสารเคมีที่อันตรายหรือไม่?


เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้นําเสนอข่าวว่า Walmart ซูเปอร์สโตร์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา จะเลิกขายขวดน้ำ และ ขวดนมพลาสติกที่มีสารเคมีชื่อ Bisphenol A (BPA) นอกจากนั้น บริษัท Nalgene ที่ผลิตขวดน้ำพลาสติกเจ้าใหญ่ของอเมริกา ก็จะเลิกใช้สารเคมีตัวนี้ในการผลิตเช่นกัน

BPA เป็นสารที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติกชนิดแข็งและใส เช่นขวดโหล ขวดน้ำ และ ขวดนมของทารก แต่มีการวิจัยว่า สารเคมีชนิดนี้อาจก่อความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะในเด็กทารก
ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ประเทศแคนาดาได้เริ่มกระบวนการที่จะประกาศว่า สาร BPA เป็นสารเคมีอันตราย ส่วนรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาก็ได้จัดทํารายงานเบื้องต้นว่า สาร BPA อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้บริโภค

หากเป็นไปได้ เราแนะนําให้ซื้อขวดน้ำ และ ขวดนมที่ปลอดสาร BPA นะคะ กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ

คุณแพ้นมรึเปล่า?


อาการของการแพ้นมวัวอาจจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีหลังดื่มนม หรือหลังรับประทานอาหารที่ทําจากนมวัว เช่น ชีส ครีม เค้ก เนย แต่สําหรับบางคน อาการแพ้อาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะแสดงออกมาให้เห็น ส่วนอาการของการแพ้มีตั้งแต่การจาม คัดจมูก อาเจียน ผื่นขึ้น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย หรือ ท้องผูก

สาเหตุของการแพ้นมวัวนั้น เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างโปรตีนต่อต้านเชื้อโรคในร่างกายที่มีชื่อว่า Immunoglobulin E (IgE) มาต้านโปรตีนจากนมวัว ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่

- Casein ซึ่งพบได้ในส่วนที่จับตัวเป็นตะกอน เมื่อนมวัวถูกความร้อน

- Whey ซึ่งพบได้ในส่วนที่แยกเป็นของเหลวหลังถูกความร้อน

ทุกๆครั้งที่ IgE เจอโปรตีนจากนมวัวในร่างกาย ก็จะส่งสัญญาณให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยสารฮิสตามีน (histamine) ออกมา ซึ่งสารฮิสตามีน จะก่อให้เกิดอาการเช่น: คัดจมูก คันตา น้ำมูกไหล คอแห้ง ผื่นคัน คลื่นไส้ อาเจียน หรือแม้กระทั่งการช็อก

คุณอาจจะแพ้โปรตีนในนมวัวทั้ง 2 ชนิด หรือชนิดใดชนิดหนึ่ง หากคนในครอบครัวของคุณมีประวัติการแพ้มาก่อน โอกาสที่คุณหรือลูกของคุณจะแพ้นมวัว ก็จะสูงมากขึ้น

นอกจากนมวัวแล้ว อาหารที่ก่อให้เกิดการแพ้บ่อยที่สุดคือ ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง อาหารทะเล และ ข้าวสาลีในปัจจุบัน คุณสามารถตรวจการแพ้อาหาร (food allergy test) ได้ตามโรงพยาบาลชั้นนําทั่วไป โดยที่แพทย์จะเจาะเลือดไปวิเคราะห์ในห้องแล็บ เพื่อดูว่า โปรตีนต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย IgE เกิดขึ้นในระดับเท่าใดเมื่อพบกับอาหารต่างๆค่ะ

Reference: Mayo Clinic Allergy Center



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2551

วิตามิน อี อาจช่วยให้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ยืดอายุขัย


เมื่อวันที่ 12-19 เมษายน 2551 นักวิจัย Valory Pavlik, PhD. จาก Baylor College of Medicine's Alzheimer's Disease and Memory Disorders Center ได้นําเสนอผลการวิจัยในงานประชุมประจําปีของ American Academy of Neurology ที่เมืองชิคาโก

การวิจัยนี้ติดตามผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ กว่า 847 คน ที่เป็นโรคนี้มาโดยเฉลี่ย 5 ปีแล้ว ประมาน 67% ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ทานวิตามิน อี 1000 IU วันละ 2 ครั้ง พร้อมกับยาอัลไซเมอร์ ที่มีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ cholinesterase (cholinesterase inhibitor) น้อยกว่า10% ของผู้ป่วยทานเพียงวิตามิน อี อย่างเดียว และอีกประมาน 15% ของผู้ป่วยไม่ได้ทานวิตามิน อี

ผลจากการวิจัยนี้พบว่า ผู้ป่วยที่ทานวิตามิน อี--ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ทานยาควบคู่ไปด้วย หรือไม่ได้ทานยาแลย--มีโอกาสที่จะเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้ทานวิตามิน อี ถึง26%

นอกจากนั้น ผลการวิจัยได้ชี้ว่าการทานวิตามิน อี ควบคู่กับการทานยาอัลไซเมอร์ ที่มีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ cholinesterase จะมีผลดีมากกว่าการทานอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

วิตามิน อี สามารถพบได้ในอาหารเสริม นํามันพืชบางชนิด ถั่ว และผักใบเขียว

Reference: American Academy of Neurology (2008, April 17). Vitamin E May Help Alzheimer's Patients Live Longer, Study Suggests. ScienceDaily.

การดื่มชาเป็นประจําอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพคุณ


Mayo Clinic Health Letter ฉบับเดือนเมษายน 2551 ได้กล่าวถึงคุณประโยชน์ต่างๆของการดื่มชาเป็นประจํา ชาดํา ชาเขียว ชาขาวและชาอูหลงล้วนมาจากใบไม้ชนิดเดียวกัน ซึ่งก็คือใบของต้น camellia sinensis ใบชามีสาร flavonoids และ polyphenol ในปริมาณสูงมาก ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี

จากการวิจัยต่างๆที่ผ่านมา หลายๆการวิจัยได้พบว่าการดื่มชาเป็นประจํา อาจจะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังไม่มีการวิจัยอันใดที่สรุปได้อย่างชัดเจนว่ามีคุณประโยชน์อย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจัยอื่นๆในการใช้ชีวิตอาจมีผลกระทบกับผลของการวิจัย

อย่างไรก็ตาม ทาง Mayo Clinic ก็ได้รวบรวมคุณประโยชน์ต่างๆ ที่อาจจะมาจากการดื่มชาเป็นประจํา ดังต่อไปนี้:


สุขภาพหัวใจ
มีหลักฐานเบื้องต้นว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจําอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวาย หรือ เส้นเลือดอุดตัน

การต้านมะเร็ง
การวิจัยในห้องแล็บเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า การดื่มชาขาวเป็นประจําอาจป้องกันการเกิดมะเร็งในลําใส้ใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีการวิจัยที่ชี้ชัดว่าป้องกันได้จริง

สุขภาพกระดูกและข้อ
การวิจัยในห้องแล็บเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าการดื่มชาดําเป็นประจําอาจช่วยลดการอักเสบจากภาวะข้อต่ออักเสบ (arthritis inflammation) และอาจมีผลในการชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อน นอกจากนั้น ยังมีผลการวิจัยเบื้องต้นว่า การดื่มชาเป็นประจําอาจช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของแร่ธาติในกระดูกของหญิงสูงอายุ

ความทรงจํา
การวิจัยในด้านนี้ยังมีไม่เยอะ แต่มีการพบว่าผู้สูงอายุในญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียวทุกวันมีความทรงจําที่ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มชาเขียวเป็นประจํา

Reference: Mayo Clinic (2008, April 6). Drinking Tea May Offer Health Benefits, But Evidence Still Limited. ScienceDaily.