วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เสริมวิตามิน-เกลือแร่เลี่ยงอัลไซเมอร์และโรคเรื้อรัง



โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคหนึ่งที่ ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ และยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แท้จริง การศึกษาที่ผ่านมาพบว่าโรคนี้เกิดจากการลดลงของสารสื่อประสาทชื่ออะเซติลโคลีน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารนี้ช่วยให้มนุษย์มีความสามารถในการจำ การป้องกันจึงเป็นหนทางเดียวในการปกป้องความทรงจำอันมีค่าให้ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์


ในงานเสวนาทางการแพทย์ "ปฏิวัติโภชนาการ เพื่อชีวิตใหม่ อ่อนวัย ห่างไกลโรค" จัดโดยไวเอท คอนซูเมอร์ เฮลธ์แคร์ มีการเผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ว่า การได้รับวิตามิน บี 1 บี 6 บี 12 วิตามินซี และกรดโฟลิกร่วมกันในปริมาณที่เหมาะสม จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้มากกว่าร้อยละ 50


ผลการวิจัยดังกล่าวเปิดเผยโดย ศ.เจฟฟรี่ บี บลูมเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยด้านสารต้านอนุมูลอิสระ ศูนย์วิจัยโภชนาการมนุษย์และการเปลี่ยนตามวัย มหาวิทยาลัยทัฟส์ สหรัฐอเมริกา (Tufts University) การได้รับวิตามินต่างๆ อย่างพอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์เท่า นั้น แต่ยังรวมถึงโรคเรื้อรังร้ายแรงอื่นๆ เช่น:


- การได้รับวิตามินบีรวมติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ร้อยละ 25

- ส่วนวิตามินที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามิน อี เบต้าแคโรทีน สังกะสี และทองแดงนั้น หากกินร่วมกันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาท ตาเสื่อม และต้อกระจกได้ร้อยละ 20-25

- การได้รับวิตามินรวมติดต่อกันเป็นเวลา 15 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้สูงถึงร้อยละ 80


ศ.น.พ.สุรัตน์ โคสุมินทร์ หัวหน้าหน่วยโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า คนไทยมีอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจของสำนักที่ปรึกษา กรมอนามัย พบว่าคนไทยทุกเพศทุกวัยจำนวนมากได้รับวิตามินและเกลือแร่ต่ำกว่าที่ร่างกายต้องการตามมาตรฐานปริมาณสารอาหารที่แนะนำในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้น


การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายนั้นมี 2 ข้อด้วยกัน คือ:

1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ

2. ผลิตภัณฑ์วิตามินเกลือแร่รวมนั้นต้องมีปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

14 วิธีคงความหนุ่มสาว



ปัจจุบันศาสตร์แห่งการชะลอวัย (anti-aging) เป็นที่พูดถึงอย่างมากในอเมริกาและยุโรป นี่คือเคล็ดลับ 14 ข้อที่จะคงความเป็นหนุ่มสาว จาก แพทย์หญิงพัฒศรี พงษ์สถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ


1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว

การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท่ช้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงๆต่ำๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล

2. กินหลากแหล่ง

เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค

หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุงกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

4. ลดคาเฟอีน

ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอากรมอเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ

5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน

ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการ Cow’s Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมากๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว

การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน

คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ๆเกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้นทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง

การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถงเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้

บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท

ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

11. วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว

มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

12. เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม

ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร็ธฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป

13. กินวิตามิน

วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้ แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด

14. เสริมฮอร์โมน

ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความจำแย่ลง การเผาผลาญลดลง ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น แห้ง ผมร่วง ตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine นั้น ถ้าไม่มีข้อห้าม สามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์


ที่มา : ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สีของอุจจาระบ่งบอกถึงสุขภาพคุณได้



สวัสดีค่ะ วันนี้ GNC Health Advisor มีข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของระบบทางเดินอาหารมาฝากตามคำขอที่มาจาก email นะคะ


สีของอุจจาระขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทานเข้าไปและ ปริมาณของน้ำดี (bile) ในอุจจาระ น้ำดีคือของเหลวสีเขียวๆจากถุงน้ำดีที่มีหน้าที่ช่วยย่อยไขมัน ซึ่งจะถูกเอนไซม์ต่างๆทำปฏิกิริยาด้วย เลยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลระหว่างที่ไหลลงมาตามระบบทางเดินอาหาร ดังนั้น อุจจาระที่ปกติมักจะมีสีอยู่ระหว่างเขียว-เหลือง-น้ำตาล


หากอุจจาระเป็นสีเขียวเข้ม อาจจะหมายความว่า

- อาหารได้ไหลผ่านระบบทางเดินอาหารเร็วเกินไป (เช่นเวลาท้องร่วง) จนน้ำดียังไม่ได้มีปฏิกิริยากับเอนไซม์และ ยังไม่ได้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นน้ำตาล หรือ

- คุณได้ทานผักสีเขียวในปริมาณมาก หรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก


หากอุจจาระเป็นสีขาว หรือ สีอ่อนมากๆ อาจจะหมายความว่า

- อุจจาระไม่มีน้ำดี ซึ่งอาจจะหมายความว่ารูทางออกของถุงน้ำดีมีอะไรไปอุดไว้

- คุณอาจจะทานยาบางตัวที่มี bismuth subslicylate มากเกินไป ซึ่งยากลุ่มนี้จะพบได้มากในยาแก้ท้องร่วง


หากอุจจาระเป็นสีเหลือง มีน้ำมันและ มีกลิ่นเหม็นมาก อาจจะหมายความว่า

- อุจจาระมีไขมันมากเกินไป ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับปัญหาในระบบดูดซึมสารอาหารและ ควรจะพบแพทย์


หากอุจจาระเป็นสีดำ อาจจะหมายความว่า
- มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหรช่วงบน เช่นกระเพาะ หรือ

- ตุณทานอาหารเสริมธาติเหล็ก หรือ ทาน black licorice เข้าไป


หากอุจจาระเป็นสีแดงสด อาจจะหมายความว่า

- มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหรช่วงล่าง เช่นลำไส้ใหญ่ หรือ

- คุณได้ทานอาหารที่มีสีแดงเช่น แครนเบอรี่ บีทส์ น้ำมะเขือเทศ หรือเยลลี่สีแดง

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หญ้าหวาน...หวานได้แบบไร้แคลอรี่ แต่จะปลอดภัยจริงหรือเปล่า?



ข่าวล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาค่ะ บริษัทคาร์กิล (Cargill) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการเกษตร กำลังจะออกผลิตภัณฑ์ "ทรูเวีย" ในตลาดสหรัฐเร็วๆ นี้ โดย "ทรูเวีย" เป็นน้ำตาลธรรมชาติ ผลิตจากสตีเวีย (stevia) หรือหญ้าหวาน เป็นไม้ท้องถิ่นในปารากวัย ไม่มีแคลอรี น้ำตาลจากหญ้าหวานนี้จะวางขายในราคา 130 บาท ต่อน้ำตาล 40 ซอง


ในต้นปีหน้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อย่างซีเรียล โยเกิร์ต ขนมที่ขายเป็นแท่งๆ จะนำน้ำตาลอย่างหญ้าหวานมาใช้ ตามกฎหมายแล้ว สตีเวียได้รับการรับรองว่าเป็นอาหารเสริมในญี่ปุ่น บราซิล และจีน ยกเว้นในสหรัฐและสหภาพยุโรป โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐจำแนก "สตีเวีย" ว่า เป็นอาหารเสริมที่ไม่ปลอดภัย โดยจากการศึกษาของหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล พบว่า หนูที่กินสตีเวียจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในตับ และอาจเกิดผลกระทบต่อการมีบุตรในชาย


สำหรับบริษัทคาร์กิล แถลงว่า ได้ปรึกษากับองค์การอาหารและยาของสหรัฐมาเป็นเวลากว่า 3 ปี และใช้ส่วนประกอบในใบของสตีเวียเท่านั้น ไม่ได้ใช้สตีเวียทั้งใบ

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้อควรรู้เกี่ยวกับครีมกันแดด



ตอนนี้ทุกๆคนก็คงพอทราบถึงความสำคัญของการทาครีมกันแดด เพราะมีโฆษณาสินค้ากลุ่มนี้ออกมามากมายเหลือเกิน แต่หลายๆคนก็คงยังจะงงอยู่ว่า ตกลงแสง UVA กับ UVB มันต่างกันอย่างไร และ ทำไมเราถึงต้องระวังมันเป็นพิเศษ? แล้วพวกสารกันแดดทั้งหลายทั้งปวงที่เห็นตามโฆษณาน่ะ มันต่างกันอย่างไร? ใน GNC Health Update วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ


ก่อนอื่นเลย ขออธิบายก่อนว่า ที่เราต้องทาครีมกันแดด (ทั้งตัวนะคะ ไม่ใช่ดูแลใบหน้าอย่างเดียว) นั้น เป็นเพราะว่ารังสี UVA จะทำให้ผิวเราเกิดริ้วรอย และเป็นต้นเหตุหลักของการดูแก่ก่อนวัย ส่วนรังสี UVB เป็นตัวการที่ทำให้ผิวเราไหม้ มิหนำซ้ำ รังสีทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังที่สามารถคร่าชีวิตคุณได้ รู้อย่างนี้แล้ว คงพอเข้าใจถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการทาครีมกันแดดให้ทั่วๆตัวทุกครั้งก่อนที่จะออกไปโดนแดดนะคะ


แต่อย่าหลงคิดนะคะ ว่าทาครีมกันแดดอะไรก็ได้ แล้วจะปลอดภัยจากรังสีUVA และUVB เพราะสารกันแดดหลายตัวกลับสลายตัวเมื่อโดนแดด! นอกจากนั้น สารกันแดดบางตัวก็สามารถกันได้เฉพาะรังสี UVB เท่านั้น


Zinc Oxide และ Titanium Dioxide เป็นสารกันแดดที่นักเคมีต่างเห็นพ้องว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการกันแดดได้ดีกว่าสารอื่นๆในท้องตลาด เพราะสาร 2 ตัวนี้สามารถป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB แถมยังไม่สลายตัว หรือ สูญเสียประสิทธิภาพในการกันแดดได้ง่ายๆด้วย วิธีที่สารสองตัวนี้กันแดด คือการสะท้อนรังสีนี้ออกไปจากผิวหนัง หรือที่เรียกว่าเป็น Physical Blockers


ส่วนสารกันแดดที่เป็น Chemical Blockers จะดูดซึมรังสีและไม่ให้มันทะลุเข้าไปใต้ผิวหนัง ที่ใช้มากในท้องตลาดคือ:

- Oxybenzone (กันรังสี UVB ได้มากแต่ UVAได้แค่บางส่วน),

- Avobenzone (กันรังสี UVA ได้อย่างเดียว),

- Mexoryl SX (กันรังสี UV ได้ทั้ง 2 แบบ),

- Helioplex (เป็นสารป้องกันการเสื่อมสภาพของสารกันแดดและ มีใช้ในสูตรที่ผสม Avobenzone และ Oxybenzone)


โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้ชี้แจงว่า Physical Blockers นั้นมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า Chemical Blockers อย่างไรก็ตาม Physical Blockers ก็มีข้อด้อยตรงที่จะทำให้ใบหน้าดูขาววอก จึงมีเฉพาะสาวหมวยหนุ่มตี๋/ยุ่น/ เกาหลี หรือ ฝรั่งที่จะพอใช้ครีมกันแดดประเภทนี้ได้


ในจำนวน Chemical Blockers นั้น Mexoryl และ Helioplex จะมีความเสถียรที่ดีกว่าตัวอื่นๆ อย่างไรก็ตาม Environmental Working Group (EWG) ของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแสดงถึงความกังวลว่า Chemical Blockers อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับฮอร์โมนของร่างกายได้


ถึงแม้ในขณะนี้ยังไม่มีการวิจัยที่ชี้ชัดว่าการใช้ Chemical Blockers มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่เพื่อความสบายใจ เราแนะนำให้เลือกซื้อครีมกันแดดสูตรที่มี Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide อย่างน้อย 7 % โดยเฉพาะเมื่อใช้กับเด็กและ ทารก โดยครีมกันแดดนั้น ควรจะมีค่า SPF อย่างน้อย 30 สำหรับวิธีการใช้ที่ถูกต้องนั้น คือต้องทาครีมก่อนออกแดดซัก 20-30 นาทีและ ควรจะทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมงค่ะ


ส่วนบางคนที่อาจจะถามว่า แล้วถ้าเราใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวล่ะ จะกันแดดได้หรือไม่? คำตอบก็คือ ได้ต่อเมื่อผ้านั้นถูกทอมาอย่างแน่นมากๆ ซึ่งวิธีการทดสอบว่าแน่นพอหรือไม่นั้น สามารถทำได้ง่ายๆค่ะ เพียงคุณนำไฟฉายส่องไปที่ผ้า แล้วดูว่ามีแสงเล็ดลอดไปอีกฝั่งของผ้ามั้ย หากไม่มีก็แสดงว่าผ้าตัวนี้สามารถกันแดดได้ค่ะ


หวังว่าข้อมูลที่เราสรรหามาให้คุณผู้อ่าน จะมีประโยชน์และ ช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อครีมกันแดดที่ดีที่สุดสำหรับคุณและ ครอบครัวนะคะ


วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

รักษาความเฉียบคมของสมอง ด้วยเกมส์ลับสมองแบบ Anti-Aging!

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน วันนี้ทีม GNC Health Advisor มีเกมส์ลับสมองมาฝากค่ะ เดี๋ยวนี้ใครๆก็พูดถึง Anti-Aging แต่การคงความอ่อนเยาว์ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับผิวพรรณ หรือ รูปร่างเท่านั้นนะคะ ความเฉียบคมของสมองคุณก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้น เราจึงขอแนะนำเกมส์สนุกๆที่ถูกสร้างมาเพื่อช่วยบริหารสมองของคุณโดยเฉพาะ เพียงคลิกไปที่: http://www.prevention.com/cda/categorypage.do?channel=health&category=brain.fitness&topic=brain.games&cm_mmc=Mag_URL-_-2007_November-_-Health-_-brain%20games

เล่นแล้วเป็นอย่างไร อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ระดับฮอร์โมนไธรอยด์ "ปกติ" แต่ยังอ้วนง่าย?



ข่าวล่าสุดจากการวิจัยของ National Heart, Lung and Blood Institute ที่ Massachusetts สหรัฐอเมริกาชี้ว่า ระดับฮอร์โมนไธรอยด์ TSH ที่อยู่ในระดับ "ปกติ" ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่อ้วนง่าย


ฮอร์โมน TSH เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบการเผาผลาญ ระดับฮอร์โมน TSH ที่ปกติจะอยู่ระหว่าง 0.5-5.0 และหากระดับฮอร์โมน TSH ในผลตรวจเลือดของคุณอยู่ในระดับ"ปกติ" แพทย์ก็อาจจะบอกว่า ที่คุณช่วงนี้น้ำหนักขึ้นเร็วกว่าปกตินั้น ไม่เกี่ยวกับระดับฮอร์โมน


อย่างไรก็ตาม การวิจัยได้ชี้ว่า ผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมน TSH ใกล้ๆ 5.0 จะน้ำหนักเพิ่มขึ้นเยอะกว่าถึง 2 กิโล เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมน TSH ที่ต่ำกว่า ซึ่งก็หมายความว่า หากคุณมีระดับฮอร์โมน TSH ประมาณ 4.8 และเพื่อนคุณมีระดับฮอร์โมน TSH ประมาณ 2.0 โดยเฉลี่ยแล้วคุณจะน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าเพื่อนถึง 2 กิโลในระยะเวลาเดียวกัน


ยังดีที่ระดับ TSH สามารถควบคุมได้ด้วยยาในกรณีที่มีความจำเป็น หากคุณสงสัยว่าน้ำหนักที่พุ่งขึ้นอย่างพรวดพราดเป็นเพราะระดับฮอร์โมน TSH เราแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์และ ตรวจเลือดให้แน่ใจนะคะ


วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สุขภาพเท้า...สิ่งที่คุณไม่ควรละเลย



วันนี้ GNC Health Advisor มีข้อควรรู้เกี่ยวกับสุขภาพเท้ามาให้คุณผู้อ่านนะคะ เพราะเท้าเป็นส่วนของร่างกายที่ถูกใช้งานมาก แต่ก็ถูกละเลยมากที่สุดเลยก็ว่าได้


1. รองเท้าแตะไม่ดีต่อเท้าคุณอย่างที่คิด

บางคนอาจจะคิดว่า วิธี 'ทรมาน' เท้าที่หนักที่สุดคือการใส่รองเท้าส้นสูงคู่สวยที่ใส่ทุกทีก็ต้องทั้งเมื่อยทั้งหนังถลอกทุกที แต่ทราบมั้ยคะว่า รองเท้าแตะกับรองเท้าส้นแบนคู่เก่งของเรานี่แหละ เป็นตัวดีที่ทำให้เป็นเส้นเอ็นอักเสบ หรือ ข้อเท้าเคล็ดได้? เหตุผลก็คือรองเท้าแตะและ รองเท้าส้นแบน (flats) จะไม่สามารถรองรับน้ำหนัก ส่วนเว้าส่วนนูนของเท้า หรือ ช่วยในการดูดซับการกระแทกได้ มากกว่านั้น การใส่รองเท้าส้นแบนแบบหัวปิด (ballet flats) อาจทำให้นิ้วเท้าเบียดกันมากเกินไปและ ส้นเท้าปวดระบมด้วยค่ะ


ดังนั้น เราจึงอยากแนะนำว่า อย่าใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าส้นแบนหากคุณต้องเดินหลายๆชั่วโมงนะคะ แต่ถ้าจะใส่ออกไปเดินประเดี๋ยวประด๋าวก็ไม่ว่ากันค่ะ


2. มะเร็งผิวหนังที่เท้า อาจทำให้เสียชีวิตได้

คาดว่าหลายๆคนคงจะคุ้นเคยกับโฆษณาครีมกันแดดที่มักจะเห็นแต่ใบหน้าหรือแขนขาของนางแบบใช่มั้ยคะ? แต่ทราบหรือไม่คะว่า เท้าของคุณก็ต้องการครีมกันแดดเช่นกัน? คนส่วนใหญ่มักจะละเลยการทาครีมกันแดดลงบนเท้า และไม่ค่อยสังเกตุถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในบริเวณนั้นด้วย ผลก็คือคนที่เป็นมะเร็งผิวหนังที่เท้า มักจะพบเจอมะเร็งเมื่อสายเกินจะรักษา มะเร็งผิวหนังที่เท้าจึงเป็นประเภทของมะเร็งผิวหนังที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ดังนั้น ทุกๆครั้งที่คุณทาครีมกันแดดที่ใบหน้า อย่าลืมที่จะทาที่ตัวและเท้าด้วยนะคะ และต้องไม่ลืมที่จะทาซ้ำบ่อยๆหากคุณไปเที่ยวทะเล หรือไปว่ายน้ำ เพราะครีมกันแดดจะมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อโดนน้ำค่ะ


3. อุปกรณ์ร้านทำเล็บไม่ได้สะอาดเสมอไป

สาวๆหลายคนที่ชอบไปร้านทำเล็บบ่อยๆ ต้องเลือกร้านดีๆนะคะ บางร้านที่ไม่ใส่ใจกับการทำความสะอาดและ การฆ่าเชื้ออุปกรณ์ อาจจะทำให้คุณเป็นเชื้อราที่เล็บ หรือ ติดเชื้อโรค ทางที่ดีคือคุณควรนำอุปกรณ์เช่นตะไบ กรรไกตัดเล็บ กรรไกตัดหนังและ ไม้ดันหนังไปเอง หรือถ้าคุณจะใช้อุปกรณ์ของที่ร้าน ก็ต้องเช็คว่าเค้ามีการอบความร้อนหรือเช็ดแอลกอฮอลฆ่าเชื้อหรือเปล่า มากกว่านั้น ควรจะให้ร้านใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเช่น เดตตอล ล้างอ่างแช่มือแช่เท้าก่อนที่คุณจะใช้ต่อจากลูกค้าคนก่อนหน้าคุณนะคะ กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ


4. ตัดแล็บเท้าตรงๆ สั้นๆจะทำให้เล็บขบ

การตัดเล็บเท้าแบบตรงๆ หรือตัดจนสั้นเกินไป อาจทำให้เล็บขบได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน เล็บขบที่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษานอกจากจะเจ็บจนน้ำตาจะเล็ดแล้ว ยังก่อให้เกิดการอักเสบและ ติดเชื้อได้ หากติดเชื้อจนเป็นหนองแล้วก็อาจจะต้องผ่าตัดเพื่อรักษาค่ะ


ฟังดูทั้งน่าเจ็บและ น่ากลัวขนาดนี้ หันมาตัดเล็บเท้าให้ถูกวิธีโดยการตัดตามความโค้งธรรมชาติของเล็บดีกว่านะคะ

5. แช่เท้าในน้ำส้มสายชูไม่สามารถฆ่าเชื้อราในเล็บเท้าได้

บางคนอาจจะเคยได้ยินสูตร'รักษา' เชื้อราในเล็บเท้า ที่ให้เรานำเท้าไปแช่ในน้ำส้มสายชู แต่ความจริงก็คือน้ำส้มสายชูไม่สามารถซึมเข้าไปถึงใต้เล็บได้ และการแช่เท้าอาจจะทำให้เชื้อราลามไปที่เล็บอื่นๆอีกด้วยค่ะ


6. หูดติดกันได้ แถมติดง่ายด้วย

หูดที่เท้าเป็นเชื้อไวรัสที่ติอกันได้ง่ายมากๆ โดยเฉพาะในพื้นของที่สาธารณะ เช่นห้องน้ำรวมในหอพัก ฟิตเนสและ สปาต่างๆ หรือ แม้กระทั่งห้องลองเสื้อผ้า ส่วนใหญ่แล้วคุณจะติดเชื้อได้หากเท้าคุณมีแผล หรือรอยแตกไม่ว่าจะเล็ก หรือ ใหญ่ ดังนั้น หากคุณต้องใช้ห้องอาบน้ำสาธารณะตามสถานที่เหล่านี้ ก็ควรจะพกรองเท้าแตะแบบพลาสติกไปใส่ด้วยนะคะ และเวลาลองเสื้อผ้าที่ต้องถอดรองเท้า ก็ควรหาผ้าอะไรมารองเท้าคุณซะหน่อยเพื่อกันการติดเชื้อค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม



สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงหลักๆของมะเร็งเต้านมมาฝากนะคะ หลายๆคนคงทราบอยู่แล้วว่ากรรมพันธุ์, การที่เกิดมาเป็นเพศหญิง, การเริ่มมีประจำเดือนเมื่ออายุยังน้อย และอายุ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆของมะเร็งเต้านม และเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ข่าวดีก็คือ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายๆปัจจัย ที่เราสามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้ เช่น:


1. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล --ไม่ควรดื่มเลยจะดีที่สุด


2. การออกกำลังกาย --ยิ่งสม่ำเสมอยิ่งดี และไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงที่หุ่นดีแล้วไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายนะคะ ผู้หญิงที่ผอมแต่ไม่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงที่หุ่นพอๆกันแต่ออกกำลังกายเป็นประจำค่ะ มากกว่านั้น มีการวิจัยมาแล้วว่าผู้หญิงที่ออกกำลังกายหนักๆอาทิตย์ละ 3 ชั่งโมงจะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้ถึง 20% เชียวนะคะ


3. การคุมน้ำหนักตัว --น้ำหนักยิ่งเกินมาตรฐาน โอกาสเป็นมะเร็งเต้านมก็จะยิ่งมากขึ้นด้วย


4. การเสริมฮอร์โมน --เนื่องจากว่ามะเร็งเต้านมมีความเกี่ยวพันกับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ดังนั้นควรจะหลีกเลี่ยงการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นจากการทานยาคุมกำเนิด หรือ การรักษาด้วยการทดแทนฮอร์โมน มีการวิจัยชี้ชัดแล้วว่าการทานยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน จะเพิ่มโอกาสการป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นหากเป็นไปได้ หากคุณเข้าสู่วัยทองและกำลังรับการรักษาอาการด้วยการทดแทนฮอร์โมน (hormone replacement therapy) ขอแนะนำให้ใช้ฮอร์โมนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และให้ทำการรักษาในระยะเวลาที่ยิ่งสั้นยิ่งดี


5. การเลือกที่จะมีลูกเร็วขึ้นและ ให้นมลูก --ผู้หญิงที่มีลูกเมื่ออายุมากกว่า 30 หรือ ผู้หญิงที่ไม่เคยตั้งครรภ์เลย จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมที่สูงกว่าผู้หญิงที่มีลูกตอนก่อน 30 อย่างไรก็ตาม หากมีลูกแล้วสามารถให้นมลูกเอง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และการให้นมลูกเองยิ่งนานก็จะยิ่งลดความเสี่ยงลงด้วย


6. การตรวจหามะเร็งเต้านมเป็นประจำ --ไม่ว่าจะป็นการคลำตรวจเองทุกๆเดือนหรือ การไปตรวจด้วยเครื่อง mammogram และหากคุณเป็นคนที่มีเนื้อเต้านมที่แน่นหนา (dense breast tissue) คุณก็จะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้นด้วย


เราหวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านได้ปรับวิถีชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมนะคะ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

6 วิธีกันกระดูกพรุน



ทราบมั้ยคะว่า โรคกระดูกพรุนสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ชายเช่นเดียวกัน ? ในสหรัฐอเมริกา มีผู้หญิงกว่า 8 ล้านคนที่เป็นโรคนี้ และผู้ชายอีกกว่า 2 ล้านคนที่เป็นโรคนี้ อย่างไรก็ตาม วันนี้ GNC Health Advisor มี 6 เคล็ดไม่ลับที่จะช่วยให้คุณป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนค่ะ


1. รู้อาการของโรคกระดูกพรุน

หากคุณมีความรู้ว่าอาการของโรคกระดูกพรุนมีอะไรบ้าง คุณก็จะสามารถหยุดความเสียหายต่อกระดูกของคุณได้แต่เนิ่นๆนะคะ


ในช่วงแรกของการเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยมักจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่จะมารู้ว่าตัวเองเป็นโรคกระดูกพรุนเมื่อพบว่ามีกระดูกร้าว ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นกระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือที่จะร้าวก่อนเมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน และเมื่อกระดูกเปราะบางลงเรื่อยๆ ผู้ป่วยก็จะเริ่มรู้สึกปวดหลัง เตี้ยลง หรือหลังค่อมมากขึ้น


โรคกระดูกพรุนเกิดขึ้นเพราะว่าร่างกายสูญเสียมวลกระดูกมากกว่าที่สามารถผลิตขึ้นมาทดแทนใหม่ได้ ก่อนที่คนเราอายุ 35 ร่างกายจะสามารถผลิตมวลกระดูกมาทดแทนได้เร็วและ ในจำนวนที่มากกว่าที่เสียไป แต่พอเราอายุ 40 กว่า ร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างมวลกระดูกขึ้นมาทดแทนที่เสียไปได้อย่างเพียงพอค่ะ


2. วัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเป็นประจำ

การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเป็นสิ่งที่ง่ายและไม่เจ็บตัวเลยค่ะ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกคือการใช้ Dual Energy X-Ray Absorptiometry (DEXA) ซึ่งจะวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกในบริเวณสันหลัง สะโพกและ ข้อมือ- 3 บริเวณหลักที่จะเกิดการร้าวจากโรคกระดูกพรุน นอกจากวิธีนี้ ยังมีการใช้คลื่นอัลตร้าเซานด์ และ CT Scan ที่สามารถตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกได้เช่นกัน


3. รักษาระดับเอสโตรเจนในร่างกาย

สำหรับผู้หญิง โรคกระดูกพรุนมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับวัยทอง เพราะวัยทอง หรือ ช่วงหมดประจำเดือน เป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง และฮอร์โมนเอสโตรเจนมีความสำคัญอย่างยิ่งกับความหนาแน่นของมวลกระดูก ขนาดที่ว่าการลดลงอย่างฮวบฮาบของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลทำให้ปริมาณของมวลกระดูกลดลงถึงปีละ 1 - 3 %


สำหรับผู้ชายนั้น ฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนส่วนหนึ่งจะถูกนำไปเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่มีความสำคัญต่อความหนาแน่นของมวลกระดูกในร่างกายของผู้ชายเช่นกัน ดังนั้น เมื่อผู้ชายเริ่มมีอายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนก็จะลดลง ซึ่งมีผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่แปลงมาจาดเทสทอสเตอโรนลดลงเช่นเดียวกัน และการที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้ชายลดลง ก็ทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกของผู้ชายลดลงเช่นเดียวกับที่เป็นในร่างกายผู้หญิง


ดังนั้น หากโรคกระดูกพรุนของผู้ป่วยทั้งชายและ หญิงมีสาเหตุมาจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการทดแทนฮอร์โมนอย่างธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เราอยากเตือนว่าการทดแทนฮอร์โมนอย่างธรรมชาติก็อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ดังนั้นผู้ป่วยควรจะปรึกษาแพทย์ให้ละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่จะตัดสินใจใช้วิธีนี้เป็นการรักษาค่ะ


4. รักษาระดับ pH ของร่างกาย

ความไม่สมดุลของระดับ pH (ความเป็นกรด-ด่าง) สามารถทำใหสูญเสียแคลเซียมในกระดูกได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคกระดูกพรุน ความเครียด การขาดการออกกำลังกาย มลภาวะ และการรับประทานอาหารเปรี้ยวๆล้วนทำให้เกิดความเป็นกรดสูงในร่างกาย ในเมื่อร่างกายเราต้องคงสภาพความเป็นด่างนิดๆ สภาวะที่เป็นกรดจะทำให้ร่างกายเราต้องดึงเอาแร่ธาติที่มีความเป็นด่างมาช่วยปรับสภาพ pH ให้กลับมาเหมือนเดิม โดยการดึงแคลเซียมออกจากกระดูกเป็นต้น


การปรับอาหารจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยรักษาระดับ pH ในร่างกาย ในแต่ละวัน 60-80% ของอาหารที่คุณทานควรจะมีความเป็นด่างและ อีก 20-40% ควรจะมีความเป็นกรด ผลไม้และ ผักเกือบทุกชนิด (นอกจากมะเขือเทศ และผลไม้ตระกูลเบอรรี่) เป็นอาหารที่มีความเป็นด่าง ส่วนอาหารที่มีความเป็นกรดคือพวกโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นต้น


5. ใช้ชีวิตอย่างสุขภาพดี

การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลมากเกินไป และการขาดการออกกำลังกายล้วนแต่ทำให้หระดูกไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีผลให้อัตราการสร้างมวลกระดูกน้อยลง


คุณควรจะออกกำลังกายอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีเพื่อที่จะเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก การออกกำลังกายกลางแจ้งจะทำให้ร่าง

กายได้สร้าง วิตามิน D ที่จะช่วยให้กระดูกดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นด้วยค่ะ


6. เสริมแคลเซียม

ผู้หญิงก่อนวัยทอง และ ผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 65 ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อย 500 mg ต่อวัน บางคนอาจจะต้องรับถึง 1000 mg ต่อวันเนื่องจากว่าร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างเต็มที่ และอาหารเสริมแคลเซียมบางชนิดไม่มี co-factor หรือสารประกอบ ที่จะช่วยในการดูดซึมของแคลเซียม เช่นวิตามิน ดี และ แมกนีเซียม แคลเซียมชนิดที่ดูดซึมได้ดีที่สุดคือ แคลเซียม ซิเทรท มาเลท ที่มีวิตามิน ดีและ แมกนีเซียมผสมอยู่ด้วย


ส่วนผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองแล้ว และ ผู้ชายที่อายุมากกว่า 65 ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อย 1000-12000 mg ต่อวันค่ะ

ทานเนื้อแล้วต้องทานไวน์แดงด้วย



คิดว่าท่านผู้อ่านหลายๆท่านคงจะชอบทานเนื้อสัตว์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นเสต็กเนื้อ คอหมูย่าง พอร์คชอป ไก่ย่าง ล้วนแต่เป็นอาหารที่หลายๆท่านโปรดปรานกันทั้งนั้น


แต่ว่าบางคนก็อาจจะรู้สึกผิดทุกครั้งที่ทานเนื้อสัตว์เยอะๆ เพราะรู้มาว่าการทารเนื้อสัตว์จะก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายกับสุขภาพเราเพราะสารนี้อาจเป็นบ่อเกิดของโรคมะเร็งและ โรคร้ายอื่นๆอีกมากมาย


โชคดีนะคะ ที่การวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัย Hebrew University ในประเทศอิสราเอลได้ค้นพบว่า การดื่มไวน์แดงพร้อมกับการทานเนื้อสัตว์ สามารถช่วยลดปริมาณของสารอนุมูลอิสระในกระเพาะและกระแสเลือดได้ เพราะไวน์แดงมีสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่ชื่อว่า polyphenols ที่ช่วยลบล้างสารอนุมูลอิสระจากการทานเนื้อสัตว์ค่ะ


นอกจากไวน์แดงแล้ว ท่านผู้อ่านยังสามารถตุนสาร polyphenols จากอาหารดังต่อไปนี้ค่ะ

- หัวหอม
- แอปเปิ้ล

- ชาเขียว

- สตรอเบอรรี่

- ราสเบอรรี่

- บลูเบอรรี่

- แครนเบอรรี่


ดังนั้น เมื่อไหร่ที่ท่านผู้อ่านจะต้องทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์เยอะๆ ก็อย่าลืมทานอาหารที่มีสาร polyphenols เข้าไปด้วยเพื่อปกป้องร่างกายจากสารอนุมูลอิสระนะคะ